December 21, 2017

ความทุกข์มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์


(เกม mario ภาคนึง ด่านสุดท้ายยากมากกว่าจะเก็บดาวครบ
แต่สำหรับคนเล่นเกมมืออาชีพ คงจะชิวๆ)




เด็กเมพ บน youtube

เราชอบนั่งดูคนเล่นดนตรีบน youtube นะ
มันจะได้อารมณ์ห้องซ้อมดนตรีที่เราไปกับเพื่อนตอนเด็กๆ

นานๆทีมันก็จะมีคลิปแบบที่เป็นเด็ก 4 ขวบ
โชว์กีตาร์โซโลโหดๆ เร็วๆ แบบแนว hard rock

แล้วก็จะมีคนที่มาเม้นว่า


เด็กพวกนี้ก็คิดแต่ว่า โซโล่กีตาร์มันเป็นเรื่องของความเร็ว
จริงๆ มันมีมากกว่านั้น เฉยๆหวะ... ถุด...


แล้วก็จะมีคนมาตอบว่า

“ตอนมึง 4 ขวบ มึงทำเชี่ยไรสัส”

สรุปก็คือ การที่เด็ก 4 ขวบทำได้เท่านี้มันยอดแค่ไหนแล้ว ใช่ปะ


เพื่อนที่ทำงานออกมาไม่ดี

เอาอีกตัวอย่าง ใกล้ตัวกว่านี้

มีเพื่อนมันเครียดเรื่องงาน ว่าผลมันไม่ออกตามที่ควร
เพื่อนอีกคนนึงที่แทบจะหางานไม่ได้ และเกือบถูกไล่ออก
บอกว่า ชีวิตมันมีอะไรต้องเครียดกว่านี้อีกเยอะ เราต้องเรียนรู้ที่จะอดทน

แต่ เพื่อนที่เครียดเรื่องงาน ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น


ความทุกข์ของใครโหดกว่ากัน

ทั้งสองตัวอย่างที่เล่ามานี่
มีอะไรที่เหมือนกัน ก็คือ
พวกนี้วัดความทุกข์เป็นหน่วย absolute

แปลเป็นภาษาไทย คือ ขอทาน มีความทุกข์มากกว่า คนมีบ้านแต่ผ่อนรถไม่ทัน

ก็ถูกประมาณนึง ถ้ามองในความเป็นจริง

แต่

สิ่งที่สำคัญในการสร้างเพื่อน คือ อะไร

สิ่งสำคัญ คือ การรับฟัง เห็นอกเห็นใจ และเป็นผู้ฟังที่ดี

เราเคยเขียนเรื่องนี้มาก่อนนิดนึงในโพส ฉันเครียดที่สุด ฉันมีความสุขที่สุด
วันนี้เราคิดว่ามีวีธีตีความที่ช่วยให้เอาไปใช้ได้ง่ายขึ้นนิดนึง
เลยมาเขียนแบ่งกัน


ความทุกข์มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์

สมมติมีเด็กสปอยคนนึง ที่มีทุกอย่างในชีวิต
แล้ววันนึงเกิด ไม่ได้สิ่งที่ต้องการขึ้นมา
ชีวิตเค้าแทบจะดับทันที

เด็กสปอยมีความอดทน 2
การที่เค้าจองร้านอาหารตอน 1 ทุ่มไม่ได้เพราะร้านเต็ม
เจอ damage ไป 1
พลังลด 50%

เด็กประเทศกันดาร ไม่มีน้ำสะอาดใช้กิน
ความอดทน 10000
วันนึงแม่ติดเชื้อจากน้ำไม่สะอาดป่วยหนัก
ลูกก็เศร้า เจอ damage 5000
พลังลด 50%

ถ้ามองอย่างเป็นกลาง
ปัญหาของเด็กสปอย แม่งกระจอกไปเลย

แต่เราควรจะเมินเด็กสปอยเวลาเค้ามีความทุกข์ปะ

ไม่ใช่

ถ้าเด็กสปอยนั้นเป็นเพื่อนสนิทเรา
มันมีความทุกข์ 50%
มันคือ โคตรเยอะ อะ

ไม่ได้บอกว่า ให้สปอยมันต่อไป
แต่บอกว่า ให้รับฟังและเห็นใจมัน


ความสุขหรือความสำเร็จก็เหมือนกัน


กลับมาตัวอย่าง youtube
เด็ก 4 ขวบ ชีดจำกัดความสามารถด้านดนตรี เต็ม 100
เล่นกีตาร์เร็วดั่งสายฟ้า
เอาคะแนนไป 80
ความสำเร็จ 80%

มือกีตาร์ jazz อาชีพ ขีดจำกัดความสามารถด้านดนตรี 5000
เล่นกีตาร์ให้ผู้ฟังมีความสุขถึงระดับจิตวิญญาณ
เอาไป 4000 คะแนน
ความสำเร็จ 80%

ถ้าอยากให้กำลังใจคนโพส
ควรชื่นชมเท่าๆกันนะ

แต่บางที
คนเรามองว่า ความจริงและความเท่าเทียมกัน
อยู่เหนือ ความรู้สึกของคน

ซึ่งมันก็มีกรณีที่ต้องทำงี้นะ
เช่น การ ให้คะแนนร้านอาหาร
ที่ควรจะตรงไปตรงมากับการบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวนี้ให้ 5 เต็ม 10
เพื่อว่า คนอื่นจะได้ระวังเวลามากิน

หรือสำหรับคนที่ให้คุณค่ากับความจริงที่ตรงไปตรงมา
มากกว่าเรื่องความรู้สึกผู้รับฟัง
ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาออกมา

ในฐานะผู้พูด ก็พูดให้ตรงตามจุดประสงค์
ในฐานะผู้ฟัง ก็ควรจะพยายามเข้าใจจุดประสงค์ผู้พูดด้วย
(ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่ผู้พูดในจังหวะนั้นเค้าอยากพูดความจริง มากกว่า อยากทำให้เรารู้สึกดีขึ้น)


แค่จะบอกว่า
ถ้าอยากเป็นผู้ฟังที่ดี
ที่รับฟังปัญหา หรือ ยินดีด้วยกับความสุขของคนรอบข้าง
แล้วอยากทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้นแล้วละก็

อย่าลืมนะ หน่วยวัดมันเป็นเปอร์เซนต์

December 20, 2017

ทำยังไงถึงจะเปลี่ยนคนอื่นได้

((ถุงขยะแบบย่อยสลายได้ ต้องซ้อนถุง))


รัฐที่เราอยู่ค่อนข้างใส่ใจสิ่งแวดล้อมนะ
มันมีขยะอย่างนึงที่ชื่อว่า compost
ประมาณพวกขยะที่ย่อยสลายง่ายๆ
เช่นเศษอาหาร และใบไม้

เวลาเทศบาลเอาขยะพวกนี้ไปทิ้ง
เค้าจะเอาไปทิ้งแบบที่มันสามารถย่อยสลายกลับสู่ธรรมชาติได้
มันก็ คือๆ การรีไซเคิล ชนิดนึงแหละ

ล่าสุดเดี๋ยวนี้มันมีถุงขยะและกระดาษทิชชู่ย่อยสลายได้ซึ่งเราไปซื้อมาแล้ว
แต่ถุงขยะพวกนี้ ถ้าขยะมันแฉะหน่อย มันจะทะลุใน 2-3 วัน

เดียร์เป็นเชฟประจำบ้าน และมักจะมีขยะย่อยสลายให้ทิ้ง
บางทีเค้าก็ต้องเปลี่ยนถุงเอง
แล้วครั้งแรกๆ เค้าก็ไม่ได้ซ้อนถุง จนบางครั้งขยะมันทะลุ

เวลาเราเห็นว่าขยะไม่ได้ซ้อนถุง
เราก็เรียกเดียร์เข้าไปในห้องครัวแล้วบอกว่า
“ตะเอง ช่วยซ้อนถุงหน่อยได้ป่าว จ๊ะ”

ครั้งถัดมา เดียร์ลืม เราก็พูดแบบเดิม
“ตะเอง ช่วยซ้อนถุงหน่อยได้ป่าว จ๊ะ”

แต่พอมีครั้งไหนที่เดียร์ไม่ลืม
เราก็เรียกเข้าไปในห้องครัวแล้วบอกว่า
“ตะเอง น่ารักจัง จำได้ด้วย ว่าต้องซ้อนถุง”

หลังจากนั้น เท่าที่จำได้ ถุงขยะในถังขยะนั้น ซ้อนถุงทุกครั้งที่เห็น

achievement unlocked


การเปลี่ยนพฤติกรรม

แฟนทะเลาะกัน
พ่อแม่ดุลูก
เจ้านายด่าลูกน้อง
โค้ชด่าผู้เล่นในทีม
โกลด่ากองหลัง

ตัวอย่างพวกนี้มันมีอะไรที่คล้ายๆกัน
ก็คือ ฝ่ายหนึ่งอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรม

ปีนี้เราแต่งงานกับเดียร์มาครบ 10 ปีละ
ก่อนแต่งงานก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันประมาณ 6 ปี
ค่อนข้างราบรื่นแล้วตอนนี้
ถึงแม้ว่าตอนแรกจะโคตรขรุขระก็ตาม
แสดงว่าคู่เราน่าจะต้องทำอะไรซักอย่างถูก มันถึงรอดมาได้


จอร์แดน

เมื่อเร็วๆนี้ เราไปค้นพบ professor คนนึง
ที่มหาวิทยาลัย toronto ประเทศ canada
เค้าชื่อว่า jordan peterson
เป็นอาจารย์จิตวิทยา
หรือเรียกอีกอย่างว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่อง พฤติกรรมมนุษย์นะ

เรารู้จักเค้าเพราะมีข่าวช่วงนึง
ที่เค้าเกือบโดนมหาวิทยาลัยเอาเรื่อง
ตอนที่เค้าออกมาต่อต้านกฏหมายที่กำลังจะออกใหม่อันนึง
ที่ให้พวกที่ไม่ใช่ ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง มีสรรพนามของตัวเอง

คือ ฟังเผินๆ มันเหมือนว่าเค้าไม่เชื่อในความเท่าเทียมมนุษย์ใช่มะ

แบบ ทำไมไม่ยอมเรียกเกย์ ด้วยสรรพนามใหม่แววว้
แต่เหตุผลเค้าคือ ถ้ามันเป็นอะไรที่สังคมใช้กันมาจนเป็นวัฒนธรรมใหม่ก็อีกเรื่อง
แต่การออกกฏหมายที่บังคับให้คนพูดด้วยวิธีใดวิธีนึง
มันละเมิดสิทธิมนุษย์เกินไป
กฏหมายควรจะเป็นอะไรที่ห้ามคนทำแย่ ไม่ใช่บังคับให้คนทำอะไรซักอย่าง

พอฟังแล้วก็ เออ อาจารย์คนนี้เค้าต่อสู้กับกฏหมาย
เพราะเค้ารักความจริง และความถูกต้อง
และไม่สนว่า คนจะมองเค้าว่าใจร้ายหรือยังไง
ก็เลยลองไปดู youtube เค้าเพิ่ม

ก็ไปเจอ lecture ที่เค้าโพสไว้แล้วก็โคตรชอบ
โดยเฉพาะเรื่อง บุคลิกของมนุษย์
ที่ทำให้เราค้นพบว่าเราเป็นคนแบบไหน
แล้วความสุขความทุกข์ในชีวิตที่ผ่านมามันเริ่มมีคำอธิบายกระจ่าง

เราก็มักจะฟังเค้า lecture ระหว่างขับรถไปทำงาน
เพราะมันเพลินดี
(เค้า upload lecture ของเค้าบน youtube)

ฟังไปฟังมา youtube มัน recommend คลิปนึงมาให้ (เดี๋ยวแชร์คลิปให้ด้านล่างนะ)

มันคือสิ่งที่เรากับเดียร์ทำให้ซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ตัว
และคิดว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก
ไม่ใช่แค่ในการใช้ชีวิตร่วมกับคู้ชีวิต
แต่กับมนุษย์คนอื่นโดยทั่วไปด้วย

เราไม่เคยจะเจาะจงออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ลุงจอร์แดนคนนี้ กลั่นออกมาได้ดีมากๆ

เกริ่นมาซะยาว
เราดึงส่วนที่คิดว่าสำคัญ มาสรุปให้ฟังกัน


ทำยังไงถึงจะเปลี่ยนคนอื่นได้

การจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนอื่นที่คนนิยมทำกัน
มันมีสองอย่างนะ
ชม และ ด่า

ทั้งคู่มีประโยชน์ เพราะเป็นการบอกว่า พฤติกรรมไหนดี พฤติกรรมไหนไม่ดี
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องชมและด่าให้ถูกวิธี


ชมแบบสุดหัวใจ

เวลาอีกฝ่ายทำให้ที่เราชอบ
อย่าอยู่เฉยๆ
ชมให้สุดหัวใจ และต้องให้เค้ารู้ด้วยว่าชมอะไร

เวลาอะไรๆมันเป็นไปตามที่เราคิด เรามักจะอยู่เฉยๆโดยอัตโนมัติ

ไม่มีใครคิดว่าผู้ให้บริการ internet มันดี
มีแต่คนด่า ตอนที่มัน offline 1 ชั่วโมง หลังจากออนไลน์มาทั้งปี

สิ่งที่ควรจะทำเมื่อคนอื่นทำได้ตามหน้าที่ คือ ชื่นชมตะหาก

ถ้าสังเกตได้ว่า เวลานัดเป็นกลุ่ม มีเพื่อนคนนึงไม่เคยปฏิเสธ
บอกไปเลยว่า ขอบใจมากที่มากินข้าวด้วยกันทุกครั้งเลย

ถ้าสังเกตได้ว่า แฟนช่วยเอาขยะไปทิ้งให้ในวันที่ทำงานหนักๆ
บอกไปเลยว่า ขอบใจมากที่ช่วยเอาขยะไปทิ้ง น่ารักที่สุด

ถ้ากองหลังช่วยประกบกองหน้าอีกฝ่ายตอนเตะบอล
(ทั้งๆที่มันก็เป็นหน้าที่กองหลังปะ)
บอกกองหลังไปว่า ประกบดี


ด่าสิ่งที่เล็กที่สุด

พอมาถึงเรื่องที่เราไม่ชอบเนี่ยแหละ เห็นง่ายนัก
แล้วเวลาสิ่งที่เราไม่ชอบเกิดขึ้น เราก็มักจะคิดไปไกล

สมมติว่า กำลังคุยกันเรื่องข้อสอบไฟนอลที่เพิ่งผ่านไป
แล้วอีกคนมันดึงเข้าเรื่องที่มันได้ A วิชายากๆ
“ไอ้เชี่ยนี่ แม่งก็เป็นงี้แหละ ทุกครั้งที่พูดเรื่องอะไร มันจะต้องอวดแต่เรื่องของมัน”

แล้วถ้าด่าเพื่อนคนนี้ออกไปแบบนี้ ก็ทะเลาะกัน

จริงๆไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็ได้
แต่พยายามลดคำด่านั้น จนกระทั่งมันเป็นคำขอ อะไรซักอย่าง

ถ้าเพื่อนมันเริ่มอวดเรื่องของมัน ก็บอกมันว่า
“เดี๋ยวขอเล่าเรื่องกูจบก่อนแป๊ปนะ”
พอกลายเป็นคำขอเล็กๆ
ขออะไรที่มันทำได้เดี๋ยวนั้น และใช้พลังงานน้อยๆ
มันก็น่าจะทำให้เราได้

สำหรับพวก engineer หรือพวกชอบแก้ปัญหาจะรู้สึกขัดๆมะ

แบบการแก้ปัญหาควรจะแก้ที่ต้นเหตุ
ถ้ามาขอให้คนเปลี่ยนมี่ปลายเหตุแบบนี้
มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ effective

แต่นี่มันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนและความสัมพันธ์อะนะ
เรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความเร็ว หรือความเจ๋งของการแก้ปัญหา
แต่มันคือการอยู่ร่วมกับคนอื่น
โดยเฉพาะสำหรับคนที่ได้ความสุขจากการใช้เวลาดีๆร่วมกับคนอื่น

การที่เราทิ้งชุดนอนไว้บนพื้น แล้วเดียร์ขอให้ช่วยแขวนชุดนอนที่ราวหน่อย
ไม่ได้แปลว่าเราจะกลายเป็นคนมีระเบียบวินัยมากขึ้นทันที
แต่ความสัมพันธ์ของเรามันแน่นแฟ้นอยู่
เพราะไม่มีการพูดแรงๆใส่กัน
และซักวันหนึ่งเราก็จะมีระเบียบวินัยมากขึ้น

เพราะอย่างนี้แหละ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลูก เพื่อน แฟน เจ้านาย ลูกน้อง ลูกทีม เพื่อนร่วมทีม ฯลฯ
คือ ความอดทน นี่เอง

มันเป็นอะไรที่แทบทุกคู่ที่เราคุยด้วย บอกมา
เป็นอะไรที่ลุงป้าน้าอา บอกในงานแต่งงาน
เป็นอะไรที่เราสัญญาตัวเองไว้ก่อนตัดสินใจเป็นแฟนกับใคร

ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด
แต่เราคิดว่า skill ความอดทน ยิ่งมากเท่าไร
ยิ่งมีผลดีกับการค่อยๆ รอให้คนอื่นเปลี่ยนพฤติกรรม โดยไม่ทำร้ายน้ำใจกัน


สิ่งที่แย่ที่สุด

ก่อนจบโพสนี้ ขอเตือนอีกเรื่อง

สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกแย่ที่สุด
คือ การด่าเวลาอีกฝ่ายหนึ่งทำดี

เอ้า มันก็แหงสิ ใช่ปะ
แต่มันเป็นอะไรที่เผลอทำโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายมากๆ
ลองคิดดูนะว่าเคยทำอะไรคล้ายๆแบบนี้โดยไม่รู้ตัวนานเท่าไร

ยกตัวอย่าง

ส่งงานให้เจ้านายเกินกว่าที่ขอ เพราะ ชอบงานที่ทำอยู่มาก
เจ้านายชี้ข้อผิดพลาด แล้วบอกให้ทำอะไรเล็กๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล

แฟนทำอาหารให้ surprise ให้
บอกแฟนว่าจริงๆวันนี้อยากกินข้าวนอกบ้านมากกว่า

ฯลฯ


เอาไปลอง

ถ้าใครไม่เคยลองชมหรือด่าคนอื่นแบบนี้
แนะนำมากๆนะให้ลองเอาไปใช้กับคนรอบข้างดู
ถ้าถึงขนาด professor เอามาพูดใน lecture มันต้องใช้ได้กับชีวิตจริงประมาณนึงแหละ

ลองดูนะๆ เชื่อเรา

อ้อ อะนี่ คลิปที่สัญญาไว้
https://youtu.be/ux6TVYqdN-E?t=1h1m50s

December 16, 2017

ไม่มีเวลา ไม่มีพลังงาน ไม่ชอบ

(สนามบอลนี้ เราเคยชวนเพื่อนที่ไม่ชอบเตะบอล มาเตะด้วยกัน)


เรา: เฮ้ย กินข้าวเที่ยงไหมวันพุธนี้
โอ ซังมิน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างเลยพี่ เทอมนี้ลง 20 หน่วย

เรา: เฮ้ย มานั่งชิวกันป่าว มีพวกเราอยู่กันครบเลย
โซล กงซาน (ชื่อสมมติ): โทดทีพี่ ใส่ชุดนอนแล้ว ไว้วันหลังละกันครับ you guys have fun

เรา: เฮ้ย วันอาทิตย์นี้ 4 โมงเย็นไปเตะบอลกัน
คิม จูวอน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างอะพี่ ติดประชุม



ตอนสมัยเราเรียนประถมยันมัธยม เราชอบชวนเพื่อนไปห้องน้ำด้วยกันนะ
ฟังดูแปลกๆ แต่แบบ คือ จะไปไหนเราชอบมีเพื่อนไปด้วยเสมอ

คนไหนที่ไปขี้เป็นเพื่อนนี่ ให้ 100 คะแนน
ไอ้นี่คนดีชัวร์ ต้องเอาเป็นเพื่อนสนิท

พอโตขึ้นหน่อย เพื่อนก็เป็นเพื่อนที่อายุมากขึ้นไปด้วย
แต่ละคนก็มีความรับผิดชอบอะไรของตัวเอง
แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไปขี้เป็นเพื่อนได้ทุกคน
ถ้าเอาเรื่องไปขี้เป็นเพื่อน มาตัดสินใจก็อาจจะไม่มีเพื่อนได้

วันนี้เราเลยจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการชวนเพื่อนทำกิจกรรมต่างๆ
เพราะ การจะสนิทกับใครได้ มันต้องเริ่มจากการทำกิจกรรมร่วมกันใช่มะ

เรื่องที่จะคุยวันนี้ เหมือนจะเป็น common sense
แต่เอาจริงๆแล้วพอกลับมาดูตัวเอง
เอาจริงๆก็เพิ่งจะเรียนรู้เร็วๆนี้เอง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เวลาชวนเพื่อนทำไร แล้วมันปฏิเสธ
รู้สึกว่า พอมาคิดดูดีๆแล้ว
มันมีอยู่ 3 เหตุผลที่โดนปฏิเสธนะ



ไม่มีเวลา



เรา: เฮ้ย กินข้าวเที่ยงไหมวันพุธนี้
โอ ซังมิน: ไม่ว่างเลยพี่ เทอมนี้ลง 20 หน่วย

เคยอ่านที่ไหนซักแห่งนะ ว่าคนเราทุกคนเวลาเท่ากัน

ถ้ามันให้ความสำคัญกับอะไรซักอย่างมันต้องมีเวลาให้

เราว่า แนวคิดนี้ค่อนข้างอันตรายถ้าคิดมากเกินนะ
งี้ถ้าใครไม่ว่างเจอเรา
เราก็สามารถไปตัดสินคนนั้นว่าไม่ให้ความสำคัญกับเราได้

คนไม่มีเวลา บางทีมันไม่มีเวลาจริงๆนะ
กรณีนี้ คนที่ลง 20 หน่วยกิต เป็นคนประเภทที่กินนอนอยู่ที่คณะ



ไม่มีพลังงาน



เรา: เฮ้ย มานั่งชิวกันป่าว มีพวกเราอยู่กันครบเลย
โซล กงซาน: โทดทีพี่ ใส่ชุดนอนแล้ว ไว้วันหลังละกันครับ you guys have fun

ห่าราก
ถ้าชุดนอนมึงเป็นชุดเกราะ เปลี่ยนยากซะขนาดนั้น

แต่ตอนหลังเรามาเข้าใจละ ว่า ไอ้พวกคำแก้ตัวแปลกๆทั้งหลาย
ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกว่า “ไม่มีพลังงาน”

นอกเรื่องนิดนึง
ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้

The Power of Full Engagement: Managing Energy, Not Time, Is the Key to High Performance and Personal Renewal

คร่าวๆ มันคุยเรื่องพลังงานเนี่ยแหละ
ว่าคนเรา ควรจะบริหารพลังงาน มากกว่าบริหารเวลา

อะ กลับมาเรื่องไม่มีพลังงาน
ไอ้โซล กงซาน นี่มันเป็นคนมีมารยาทนะ
มันชอบพยายามหาเหตุผลปธิเสธดีๆ ที่ไม่เสียน้ำใจ
แต่ไอ้ชุดนอนนี่เด็ดสุดละ

ความจริง สิ่งที่มันพยายามจะบอก คือ
มันเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว
ถ้ามันออกมาเจอกันแล้ว กลับไปเตรียมนอนอีกที จะใช้พลังงานเยอะ
ซึ่งวันนั้นมันหมดพลังงานออกมาแล้ว




ไม่ชอบ



เรา: เฮ้ย วันอาทิตย์นี้ 4 โมงเย็นไปเตะบอลกัน
คิม จูวอน: ไม่ว่างอะพี่ ติดประชุม

ตอนหลังสุดท้ายมันก็เฉลยออกมา ว่า ไม่ชอบเตะบอล
เพราะวันที่ไม่มีประชุม มันหมดคำแก้ตัว มันเลยบอกเราตรงๆ

เราก็บังคับให้มันไปก่อน อย่างน้อยหนึ่งรอบนะ
เพราะ ไอ้เตะบอลที่เราชวน มันก็เป็นเตะบอลแบบเด็กอนุบาลนะ
คือ มีเพื่อนล้วนๆ ทั้งเตะเป็นและไม่เป็น
แล้วก็เข้าไปรุมลูกบอล ตะโกนฮาๆ

มันก็ไปมาครั้งนึง (เตะเข้าไป 4 ลูกด้วย)
แต่หลังจากนั้น มันก็บอกเราว่า มันไม่ชอบกีฬานี้จริงๆ
เราก็เลยโอเค



จริงๆมีแบบที่ 4 แต่ในชีวิตเจอประมาณน้อยกว่า 1 % ในสังคมทั่วไป

ไม่ชอบคนชวน

เรา: เฮ้ย เย็นนี้ไปกินข้าวกัน
ต๊ก โกจิน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างนะ (แต่จริงๆกูไม่ชอบหน้ามึง)



แล้วไง



โตเป็นควายแล้ว
ก็เพิ่งจะมารู้ไอ้สาเหตุหลักๆที่เพื่อนมันไม่ว่างอะนะ

แต่รู้สึกได้ประโยชน์นะ
เพราะว่าทีนี้เราก็แก้ตรงจุดได้แล้ว

เมื่อเพื่อน ไม่มีเวลา ไม่มีพลังงาน ไม่ชอบกิจกรรม
มันเป็นอะไรที่เรามีอำนาจแก้ไขได้นิดหน่อย

ถ้าเพื่อนไม่มีเวลา นัดล่วงหน้าเยอะๆ นัดไปทำอะไรที่ใช้เวลาน้อยๆ
ไม่ว่าง ก็ไปเจอมันหน้าคณะ แล้วเดินคุยกลับบ้านด้วยกัน
ไปเจอมันที่แลบ ทักทาย

ถ้าเพื่อนไม่มีพลังงาน ก็ทำอะไรให้มันเสียพลังงานน้อยที่สุด
ไม่ชอบออกจากบ้านก็ไปหามัน
ไม่ชอบเจอเพื่อนกลุ่มใหญ่ก็นัดตัวๆ

ถ้าเพื่อนไม่ชอบกิจกรรม ก็หากิจกรรมที่มันชอบ
มันไม่ชอบเตะบอล ก็ชวนมันไปนั่งกินเบียร์แทน



ง้อ



ที่พูดมาทั้งนี้
จะสังเกตได้อย่างนึงว่า วิธีชวนเพื่อนให้ติด สรุปคือต้องง้อมันนี่หว่า
คนจะเป็นเพื่อนกันมันต้องสองฝ่ายปะ ไม่ใช่เราจะมาง้อฝ่ายเดียว

สำหรับคนที่มีเพื่อนดีๆเยอะแล้ว ไม่ต้องแคร์นะ
(นี่เป็น ประโยคที่พูดมาจากคนที่ไม่ชอบเรา)

แต่สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์ดีๆ กับคนอื่นเรื่อยๆ ระยะยาว
เราคิดว่า
ตราบใดที่เพื่อนพวกนั้นเป็นคนดีโดยพื้นฐาน ก็ง้อมันไปเถอะนะ
ความสัมพันธ์เพียงผิวเผินจะแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องเริ่มจากตรงนี้แหละ
แล้วทุกวันก็จะได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ผ่านไปเปล่าๆเนอะ

February 27, 2017

บทเรียนการทำ presentation ที่ดี

(chart สีสดใสเนอะ แต่มันสำคัญแค่ไหน)


หนึ่งในทักษะที่เราคิดว่า สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิต คือ การสื่อสาร
ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ความรู้สึกคนอื่น
หรือ การให้คนอื่นได้รับรู้ถึงความรู้สึกเรา
หรือ การอ่านอะไรยากๆให้เข้าใจ
หรือ การเล่นดนตรีให้คนอื่นสนุกตามไปด้วย

พวกนี้ก็คือ การสื่อสารหมดอะนะ
แล้วคนที่สื่อสารเก่งๆ
ก็จะเป็นคนที่สร้างเพื่อนได้ดี
หลบปัญหาจากความเข้าใจผิดได้
เรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น
รู้ว่าทำอะไรคนอื่นถึงจะหายทุกข์ได้
ฯลฯ

หนึ่งในการสื่อสารที่สำคัญมากๆ ก็คือ
การอธิบายอะไรให้คนอื่นสนใจและรู้เรื่อง
ซึ่งส่วนใหญ่ มาในรูปแบบการ present งานนั้นเอง

การ present งานที่ดี มันมีประโยชน์มาก

ไม่ใช่แค่เฉพาะที่ทำงานหรือที่เรียนเท่านั้น
ที่จะต้องพยายามแชร์งานที่ตัวเองทำ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือผลงานวิจัย ให้คนอื่นรู้

แต่ยังได้ใช้ในการทำงานกิจกรรมทางสังคม
เช่น การเตรียมกิจกรรมการแสดงประจำปี อะไรงี้ด้วย

ตั้งแต่เด็กจนป่านนี้
เราได้มีโอกาส present งานสำคัญๆค่อนข้างเยอะอยู่
และยังได้ไปนั่งฟังคนอื่น present มาเยอะด้วย

น่าจะ ผ่าน presentation เป็นร้อยๆครั้งแล้ว

เราได้เรียนรู้ ทั้งทางตรงและผ่านการสังเกตคนอื่น
ว่า คนที่ present ดีๆ เค้าทำอะไรบ้าง
และคน present แย่ทำอะไรบ้าง
แล้วก็จำมาว่าอันไหนควรทำ ไม่ควรทำ


ขอแค่ 4 ข้อเหอะนะ


ในบทความนี้ เราเลือก 4 อย่างที่ เราคิด ว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
ของ presentation ทีเจอมาในชีวิต
ที่แม้แต่คนที่โคตรเก่ง หรือระดับโปรเฟสเซอร์ก็ยังเห็นพลาดอยู่

เป็น 4 อย่างที่เราคิดว่า ใช้เวลาแก้ไม่นานมาก
(เหมาะสำหรับคนที่งานเยอะ ไม่มีเวลามาเตรียมตัวเยอะนัก)
และเป็น 4 อย่างที่มีผลกระทบกับคุณภาพของ presentation ค่อนข้างชัดเจน
แบบ ถ้าทำพวกนี้ได้ แต่อย่างอื่นแย่ ก็ไม่เป็นไรมาก

เพื่อให้เห็นภาพ เราจะลองเอาสไล์ดแชร์ความรู้
เรื่องการนอนกลางวันมาให้ดูกัน

ในนี้ก็เป็นสไลด์ปลอมๆ แล้วก็เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะโง่นิดนึง
แต่ขอให้เชื่อว่า presentation ที่เราเจอมา
เมื่อดึงใจความสำคัญออกมา
มันก็ไม่ได้ต่างกับอย่างนี้เท่าไรจริงๆ

ต้องขออภัยที่นึกตัวอย่างที่ดีกว่านี้ไม่ออก
แต่อยากให้ผู้อ่านลองอ่านเพื่้อพยายามเก็ตประเด็น
แล้วเอาไปประยุกต์ใช้ให้มากที่สุดนะ :)


สไลด์การนอนกลางวัน




หมายเหตุ


ก่อนจะเข้าเรื่อง ต้องบอกก่อนว่า
เทคนิคพวกนี้ เหมาะกับ presentation ประเภทที่
ผู้ฟังอยากได้ความรู้และอาจจะอยากได้ powerpoint มาดูทีหลังเรื่อยๆ
ตัวอย่างหลักๆเลย คือ เสนอผลงาน งานวิจัย แชร์ประสบการณ์ แชร์ความรู้
หรือสำหรับพวกโปรแกรมเมอร์ ก็แบบพวก สอนภาษาหรือ framework ใหม่ๆ

จะมี presentation อีกแบบนึง ซึ่้งเป้าหมาย เพื่อก่อให้เกิดอารมณ์ มากกว่าที่จะให้ความรู้
เช่นพวก ted talk หลายๆอัน
ที่มันมีแค่รูปภาพเป็นฉากหลัง แล้วคนพูดก็พูดไป คนฟังก็ฮือฮาๆ
สำหรับ presentation แบบที่สองนี้ เราไม่มีประสบการณ์เท่าไร
เลยไม่แน่ใจว่า เทคนิคพวกนี้จะช่วยได้บ้างหรือเปล่า

แต่อย่างน้อย ข่าวดีคือ เราคิดว่า presentation แบบที่เน้นให้ความรู้
จะได้ใช้ในการดำเนินชีวิตบ่อยกว่าสำหรับคนทั่วๆไป


วิธีการเตรียม presentation ที่ดี 4 ข้อ


(1) พูดถึงปัญหาให้เยอะ

การพูดแชร์ความรู้แทบจะทุกเรื่อง
มักจะเป็นการแชร์เพื่อแก้ปัญหาอะไรซักอย่าง

เช่น
ถ้ามีวิธีการปลูกข้าวแบบใหม่ออกมา
ก็มักจะเป็นการแก้ปัญหาเดิมจากวิธีการปลูกข้าวที่เคยมีมา

มีหลายครั้งมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ที่เรานั่งฟัง presentation อยู่แล้วเรานั่งคิดว่า
“ที่พูดมาทั้งหมดนี่เพื่ออะไร มันสำคัญยังไงเนี่ย”

ปัญหาหลักๆมาจากการที่ผู้พูดคลุกคลีกับงานนั้นเยอะมากแล้ว
ผู้พูดเค้า อิน กับปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว
เค้าเลยมักอยากจะเสนอวิธีแก้ให้คนอื่นฟัง
จนลืมไปว่า ผู้ฟังหลายๆคน ไม่ได้อินกับปัญหานั้นไปด้วย

กลับมาดูตัวอย่าง สไลด์การนอนกลางวัน
จะเห็นว่าหลังจาก สไลด์ บทนำ ปุ๊ป เค้าเข้าเรื่องวิชาการเลย
ในบทนำก็ไม่ได้พูดถึงปัญหาตรงๆด้วย
เค้าแค่บอกว่า การนอนกลางวันทำให้สดชื่นขึ้น

จากประสบการณ์ ผู้พูดควรจะอธิบายปัญหาให้คนฟังเยอะๆ
โดยทั่วไป เราจะพยายามใช้เวลาประมาณ 1 ใน 5 (หรือมากกว่า)
ของเวลา present ทั้งหมด เพื่อพูดถึงปัญหา

อะ ลองมาแก้สไล์ดเรื่องการนอนกลางวัน
ก่อนจะพยายาม แชร์ความรู้เรื่องการนอนกลางวันให้ถูกวิธี
ก่อนอื่น ต้องให้คนฟัง อินก่อน ว่าคนเราวันๆนึงมันนอนไม่พอ
ก็เลยต้องมีการนอนกลางวัน ไม่งั้นไม่รอด

ในกรณีนี้ เราแปลงบทนำให้กลายไปสไลด์
เพิ่มเติมไปอีก 3 สไลด์ แทนจะดีกว่า




(2) เสนอสิ่งที่สำคัญที่สุดแค่ไม่กี่อย่างพอ

การ present วิชาการ มักจะเป็นอะไรที่มีรายละเอียดยิบย่อยมาก
ตัวอย่าง หนึ่ง paper งานวิจัย นี่แก้ปัญหา 4-5 อย่างก็ไม่แปลก
คนที่เป็นเจ้าของผลงานก็มักจะอยากให้คนอื่นรู้ว่า สิ่งที่เค้าทำมันช่วยได้หลายๆเรื่อง

หรือแม้แต่ในกรณีที่เราเอางานคนอื่นมาเสนอ
บางทีเราก็มี อีโก้ อยากให้คนอื่นรู้ว่า เราเข้าใจงานนี้ละเอียด
เลยอยากเสนออะไรทุกๆอย่างที่มีในงานให้คนอื่นฟัง

เห็นมาเยอะเลย โดยเฉพาะคนเก่งๆ ที่ทำข้อนี้พลาด
ผลก็คือ present ยาวเกิน คนเบื่อหมดพอดี

กลับมาที่คนฟังอีกแหละ
คนฟังนอกจากจะไม่ได้ อิน กับปัญหาเท่าไร
เค้าไม่ได้มีเวลาให้กับตัวงานนั้นเท่าเราด้วย

ผู้พูดต้องช่วยคนฟัง ด้วยการเลือกอะไรที่เด็ดๆที่สุดออกมา
เพื่อจะได้พูดได้ภายในเวลาที่กำหนด
ส่วนใหญ่จากประสบการณ์ เลือกอะไรเด็ดสุด แค่ 1-2 อย่างกำลังดี

มาดูสไลด์เรื่องการนอนกลางวันกัน
มีทั้งวิธีการนอนให้มีความคิดสร้างสรรค์ นอนให้สดชื่น นอนให้ความจำดี เยอะแยะไปหมด

ถ้าสมมติว่าโดนบังคับให้เลือกได้อย่างเดียว
คิดว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ
ระยะเวลาการนอนกลางวันว่า นอนนานแค่ไหนถึงจะดี
เพราะมันเป็นแก่นของทุกอย่าง
ไอ้รายละเอียด ว่านอนยังไงดียังไง เดี๋ยวผู้ฟังเค้าไปหาหนังสือเพิ่มได้

ทีนี้เรามาตัดสไลด์ทิ้งกัน




(3) หัวข้อทุกสไลด์ต้องสรุปใจความสไลด์นั้น

อีกหนึ่งปัญหาที่เจอบ่อยสุด ก็คือ หัวข้อสไลด์เนี่ยแหละ
(ไอ้บรรทัดบนสุดของทุกสไลด์นั่นอะ)

แทบจะทุกครั้ง จะต้องมีสไลด์ “บทนำ” หรือ “สรุป” หรือ “ตอบคำถาม” หรือ “ตัวอย่าง”

รู้หรือเปล่าว่า ไอ้บรรทัดบนสุดใหญ่ๆ ของแต่ละสไลด์ เป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านเห็นและอ่านตาม

แล้วไอ้คำว่า
บทนำ สรุป ตอบคำถาม ตัวอย่าง
มันไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย

ตัวอย่างเหรอ ตัวอย่างอะไรทำไมไม่บอก ที่โชว์ตัวอย่างต้องการจะสื่ออะไร

ทุกสไลด์ที่เราใส่ไป ให้นั่งคิดดีๆ ว่า หัวข้อ สไลด์นั้นมันให้ข้อมูลพอหรือเปล่า
ถ้าเราลบทุกอย่างในสไลด์นั้นทิ้งยกเว้นหัวข้อแล้วสไลด์นั้นยังมีประโยชน์อยู่หรือเปล่า

มาแก้สไลด์เรื่องการนอนกลางวันกัน

ไอ้บทนำ หายไปตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเรามาขยายความเรื่องปัญหาการนอนไม่พอไปเรียบร้อยแล้ว

เหลือสไลด์ “สรุป”

มาคิดดูแล้ว เนื้อหาสรุปการพูดทั้งหมดนี้
เป็นการบอกประโยชน์และวิธีการนอนกลางวัน

สาเหตุที่เรามา present ก็คือเพื่อมาชักชวนคนนอนกลางวัน
แทนที่จะใช้คำว่า สรุป ก็ชวนคนนอนกลางวันเลย




(4) ซ้อม present อย่างน้อยครั้งนึง

ทุกๆโพสที่เคยอ่านเกี่ยวกับการ present บอกว่าต้องซ้อม
เหมือนจะเป็นความรู้ทั่วไป ที่ทุกคนต้องรู้ไปแล้ว

แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนไม่ซ้อมมีเยอะเลยนะ
โปรเฟสเซอร์ที่ชีวิตวุ่นวายงานเยอะๆเนี่ย ตัวดีเลย
แล้วมันดูออกนะว่าซ้อมหรือไม่ซ้อมมา
คน present จะงงๆ ยืนมองสไลด์ว่าถึงไหนแล้ว
แล้วมันจะติดๆขัดๆ ทำให้คนฟังเข้าใจเนื้อหายากขึ้น

เราเคยต้อง present แบบกะทันหันทีนึง
มีเวลาเตรียมตัว 2 วัน เพื่อพูด 1 ชั่วโมง
เราก็หาเวลาซ้อมกับตัวเองได้แค่ครั้งเดียว

พอถึงวัน present โปรเฟสเซอร์ถามว่าได้ซ้อมบ้างป่าว
เราบอกว่า ได้ซ้อมแค่ครั้งเดียว
โปรเฟสเซอร์บอกว่า ใช้ได้ละ
เพราะ เยอะกว่าคนที่เคยมา present งานนี้ เกือบทุกคน

ไม่ว่าจะวุ่นแค่ไหน
ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ขอแค่ซ้อม present กับตัวเองครั้งเดียวก็โอเคแล้ว
แล้วมันต่างกันจริงๆ ระหว่างซ้อม 0 ครั้งกับซ้อม 1 ครั้งเนี่ย



เราคิดว่า นี่เป็น 4 อย่างที่ควรจะรู้ ก่อนจะไปพัฒนา presentation ด้วยวิธีอื่นๆ

น่าจะใช้ได้เป็นพิเศษสำหรับ presentation ประเภทที่แชร์ความรู้หรือผลงาน
เช่น ในที่ทำงานหรือที่เรียน


ก็หวังว่าคงจะเอาไปประยุกต์ใช้ได้กันได้นะ

และถ้ามีเวลา อยากพัฒนาต่อไป
ก็ไปหาวิธีเพิ่มเอาตามเน็ตได้มีเยอะอยู่

ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็ขออนุญาตขายโพสรุ่นพี่ 2 โพส ซะเลย อิอิ :)
(1) 8 วิธีบอกลา Powerpoint ห่วยๆ
(2) กฎ 10/20/30 ของการทำสไลด์

สุดท้าย นอกเรื่องหน่อย แต่ถ้าสนใจเรื่องการนอนกลางวันจริงๆ
แนะนำหนังสือเล่มนี้เลย


บายยยยยย

January 25, 2017

เมื่อไรจะค้นพบตัวเอง

(ชีวิตพอเพียงแบบ farm stay ก็ดูดีนะ)


ชีวิตนี่มันสนุกดีนะ
มีอะไรให้เรียนรู้กันไม่หมดไม่สิ้น
ไม่ว่าจะธรรมชาติอันสวยงาม
สัตว์โลกที่มีชีวิตที่น่าเรียนรู้ต่างๆกันไป
หรือมนุษย์เราที่สร้างวัฒนธรรม ประเพณี อาหาร สิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจออกมาตั้งแต่อดีต

แต่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าสิ่งที่สนุกที่สุด คือ คนรอบข้างเนี่ยแหละ
เราไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆเพื่อไปหาวิวสุดยอดในตำนาน
ไม่ต้องไปสุดกู่โลกเพื่อชิมอาหารที่ทุกคนล่ำลือกัน
ไม่ต้องไปเรียนลึกๆ ทำงาน nasa เพื่อจะได้เข้าไปช่วยสร้างยานไปดาวอังคาร

เปิด facebook messenger เนี่ยแหละ
นัดเพื่อนออกไปกินข้าว
ทำอะไร "น่าเบื่อๆ" ที่ดูเหมือนจะซ้ำๆ
แต่ก็ได้อะไรใหม่ๆกลับมาทุกที
เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตที่ต้นทุนแสนจะต่ำ

โพสนี้เราเอาเรื่องราวของเพื่อนคนนึงที่เราคิดว่าน่าสนใจมากๆมาแบ่งกัน
เป็นเรื่องของคนที่ลองนู่นลองนี่มาเรื่อยๆ ไม่ค้นพบตัวเองซักที
จนตอนนี้คิดว่า เค้าเจอแล้วแหละว่าเค้าต้องการอะไร


ไอ้บอย กับกิจการ hostel และ farm stay ของมัน


เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
เราได้มีโอกาสแวะไปหาเพื่อนสนิทคนนึงที่ อ.ปากช่อง
เพื่อทักทาย อัพเดทข่าวคราวมัน
มันเป็นเพื่อนสมัยเรียน ป.ตรี ด้วยกัน

มันชื่อว่า ไอ้บอย



บอยมันเป็นคนสู้ชีวิตนะ
เราเห็นมันผ่านมรสุมชีวิตมานับไม่ถ้วน
ขอไม่ลงรายละเอียดแต่พูดคร่าวๆว่า
มีตั้งแต่เรื่อง darkๆ จนรวมไปถึงความเสียใจที่มากที่สุดที่มนุษย์คนนึงน่าจะมีได้

แต่กลับไปเจอรอบนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า มันมีความสุข
บอยมันเพิ่งแต่งงานไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ตอนนี้มันกับภรรยาเปิดกิจการ hostel อยู่ที่ปากช่อง โคราช
(แบบที่พักให้พวกฝรั่งที่ชอบสะพายกระเป๋าท่องเที่ยวอยู่ แทนที่จะไปโรงแรมราคาแพงๆ)
ตอนนี้มันมีฟาร์มเป็นของตัวเอง แล้วกำลังขยายกิจการให้เป็น farm stay อยู่

กิจการดูน่าสนุกเลยทีเดียว
มันพาเราไปโชว์ห้องที่มันออกแบบเอง
ที่ว่างที่มันกำลังจะแปลงเป็นสนามบอล
ต้นไม้ร้อยๆต้นที่มันปลูก
ผักที่ปลูกไว้กินเอง
วัวที่มันเริ่มเลี้ยง
กระต๊อบที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหมด
ฯลฯ



ดูมันมีความสุขจริงๆอะ (เออ เขียนไปแล้วนี่หว่า ด้านบน)

30 กว่าปีในชีวิตผ่านไป
ในที่สุดท่าทางมันจะค้นพบตัวเองแล้วว่าชอบทำอะไรซะที

เราก็ไปนั่งคุยกับมัน ให้มันเล่าประสบการณ์ว่า ไปไงมาไงถึงได้มาทำ farm stay ได้เนี่ย



เริ่มต้นด้วยอาชีพโปรแกรมเมอร์

เราเจอไอ้บอยครั้งแรกตอนเรียน ป.ตรี
เราเรียน วิทย์คอม ที่ธรรมศาสตร์เหมือนกัน
เคยทำงานกับมันวิชานึง มันก็เป็นคนที่ทำงานโอเคมีความรับผิดชอบดี

จบป.ตรี บอยมันก็ไปทำงานเขียนโปรแกรมที่ตลาดหลักทรัพย์อยู่หลายปี
จำได้ว่าเงินเดือนเริ่มต้นมันสูงกว่าเพื่อนๆในคณะเลย
การทำงานนี้ทำให้มันรู้ตัวว่า งานเขียนโปรแกรมไม่น่าใช่งานที่มันอยากจะทำต่อไป
ในทางกลับกัน มันสนใจด้าน finance ขึ้น



เรียนต่อ finance

หลังมจากไอ้บอยทำงานเขียนโปรแกรมได้ 2-3 ปี
มันก็ตัดสินใจมาเรียน ป.โท ที่อเมริกาด้าน finance

เนื่องจากมันมาอเมริกาแค่ 2 ปี มันเลยอยากเก็บประสบการณ์ให้คุ้ม
นอกจากจะเรียน มันยังเป็นประธานของสมาคมนักเรียนไทยที่นั่นด้วย
แล้วก็ทำงานร้านอาหารไปพร้อมๆกันอีกตะหาก

จากประสบการณ์นี้ มันก็น่าจะได้ฝึกทักษะการบริหารคน
รวมไปถึงได้รู้ว่าร้านอาหารทำงานยังไง เผื่อวันนึงมันจะเปิดร้านเอง



ทำงาน risk management + ทำบัญชี

พอไอ้บอยเรียนจบโท มันก็พยายามลองสมัครงานในอเมริกาแต่สุดท้ายก็ไม่ติด
มันก็เลยกลับไทยไปสมัครงาน
ก็เป็นงานด้าน risk management ถ้าจำไม่ผิดนะ
ซึ่งมันบอกว่า งานตรงนั้นจริงๆก็ไม่ได้สนุกเท่าไร
จบ finance อยากทำ finance มากกว่า

ช่วงนั้น อา ของมันซึ่งดูแล apartment อยู่
กำลังต้องการคนช่วยดูแลจัดการบัญชี มันก็เลยไปช่วยหน่อย
มันก็เลยไปช่วย อา ทำงานนอกเวลาทำงานหลัก



ค้นพบชีวิตพอเพียง

ระหว่างที่ไอ้บอยทำงาน risk management อยู่
มันก็ได้เจอกับรุ่นพี่คนนึง ถูกโฉลกกัน
รุ่นพี่คนนั้นเลยพาไปดูสถานที่แห่งนึง
สถานที่นั้นคือบ้านของคนคนนึงที่ใช้ชีวิตพอเพียง
สิ่งเดียวที่เค้าต้องพึ่งประเทศคือไฟฟ้า
ขนาดน้ำยังเจาะเองเลย

เหตุการณ์นี้ทำให้ไอ้บอยเกิดความสนใจชีวิตพอเพียงอย่างมาก



ทดสอบชีวิตพอเพียง

ช่วงที่ไอ้บอยค้นพบวิถีชีวิตพอเพียง
มันก็ประจวบกับช่วงที่พ่อบอยเริ่มไม่สบาย
มันเลยได้กลับปากช่องบ่อยๆ

ทีนี้เนี่ย พ่อของบอยมีพื้นที่ว่างที่เคยเอาไว้ให้ชาวไร่ เช่าที่ เพื่อปลูกต้นมะม่วงหรืออะไรงี้
ไอ้บอยก็เลยเริ่มการทดลองว่า ถ้าปลูกอะไรเองมันจะรอดไหม

มันเริ่มจากการปลูกต้นไม้ 20 ต้นที่พื้นที่นั้น
มันบอกกับตัวเองว่า ถ้ามันปลูกต้นไม้ 20 ต้นไม่รอด มันก็คงไปทำเกษตรพอเพียงอะไรไม่ไหว

ปรากฏว่า ต้นไม้รอด
มันเลยค่อยๆเพิ่มจาก 20 ต้น เป็น 100 ต้น
ปลูกผักอะไรงี้บ้าง
แล้วมันก็ขึ้นอีก

ตอนนี้ไอ้บอยมันรู้แล้ว ว่ามันน่าจะไปอยู่อย่างนั้นได้ละ



แปลงบ้านเก่าเป็น hostel

กลับมาเรื่องพ่อบอย ไม่สบายนิดนึง
บอยเห็นว่าบ้านเก่าที่พ่ออยู่มันไม่ค่อยเหมาะกับคนแก่ๆที่ไม่สบาย
มันก็เลยตัดสินใจปลูกบ้านใหม่ให้พ่อมัน

บ้านเก่าก็เลยร้าง มันเลยมีไอเดียว่า
น่าจะลองพัฒนาบ้านเก่ามาเป็นที่อยู่อาศัยให้พวกฝรั่งสะพายเป้เดินทางดู
เพราะปากช่องเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนพวกนี้เยอะอยู่แล้ว
ไหนๆก็มีบ้านร้าง เอามาทำเป็น hostel มันจะได้มีเงินหมุนเวียนบ้าง

ผ่านไป 30 ปีในชีวิต
ไอ้บอยมันพอจะรู้แล้วว่าอยากทำกิจการแบบนี้

มันเลยลาออกจากตำแหน่ง risk management อย่างเต็มตัว
แต่เนื่องจากการจะทำกิจการงี้ ควรจะมีฝีมือการก่อสร้าง
รวมไปถึงฝีมือการดูแลธุรกิจที่พักอาศัย
มันก็เลยไปทำงานอย่างเต็มตัวกับ อา ของมัน

ระหว่างนั้น การสร้าง hostel กับ farm stay ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่อง


บ้านทาง hostel กับ farm stay ก็สร้างไปเรื่อยๆทีละหลัง
จนถึงจุดนึงที่ไอ้บอยมั่นใจว่าสร้างบ้านได้
มันก็เริ่มจ้างช่างไฟ คนก่อสร้าง ฯลฯ ด้วยตัวเอง

และหลังจากที่ทำงานกับ อา เก็บประสบการณ์
จนรู้สึกว่าสามารถดูแลธุรกิจที่อยู่อาศัยเองได้
มันก็ลาออกมาทำงานที่ hostel กับ farm stay อย่างเต็มตัว


ตอนนี้ farmstay มันยังสร้างไม่เสร็จ
แต่ hostel เปิดมาได้ซักพักแล้ว
มีรายได้อย่างต่อเนื่องมาตลอด
และดูท่าทางมันก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำมาก

happy ending

ก็ยินดีอย่างเป็นทางการอีกทีกับไอ้บอยนะ
เดี๋ยวเราคงเฝ้าติดตามชีวิตมันเรื่อยๆ



บทเรียน

มาถึงตอนนี้ เราว่าเรื่องราวชีวิตไอ้บอยนี่ได้บทเรียนอะไรเยอะแยะไปหมดเลยนะ

หาตัวเองไปเรื่อยๆ

เรามีรุ่นน้องหลายๆคน เคยมาถามอยู่ว่าทำอะไรต่อกับชีวิตดี
จริงๆไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

เรื่องไอ้บอยนี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ
กว่ามันจะเจอว่ามันต้องการอะไรก็อายุปาเข้าไป 30 กว่าละ
ก็ยังไม่สายไปใช่ปะ

การที่เราเดินทางมาอยู่ผิดที่ เวลาไม่ได้เสียเปล่าไปหรอก
อย่างน้อยเราก็เอาเวลานั้นมาเรียนรู้ตัวเองว่า เราไม่ได้ชอบสิ่งนั้น
ก็แค่อย่าอยู่กับที่นะ เวลาไม่ชอบอะไร ก็ลองของใหม่ไปเรื่อยๆ

ใครๆก็ท้อ

กว่าจะมาถึงจุดนี้ ไอ้บอยเล่าให้ฟังว่า อยากเลิกทำ hostel หรือ farm stay
แล้วกลับไปทำงานเหมือนเดิม เป็นสิบๆรอบแล้ว
ถ้ามันไม่กัดฟันสู้มันก็ไม่มาถึงจุดนี้

แค่อยากจะบอกว่า ท้อได้ เป็นเรื่องธรรมดามากๆ
แต่มีความอดทนนิดนึง เราทนได้แค่ไหนก็ควรจะทนที่สุดก่อนตัดสินใจล้มเลิก

ลดความเสี่ยง ทำทีละนิด

เสริมข้างบนนิดนึง
ที่บอกว่าถ้าไม่ชอบอะไรให้ลองของใหม่ไปเรื่อยๆ
ก็ต้องไม่ใช่ว่า จะผลีผลาม ลาออกจากงานเดิมไปลองของใหม่ ตลอดเวลานะ
ควรจะทำอะไรทีละนิดๆที่ทำได้

ดูอย่างไอ้บอย มันค่อยๆดูลาดเลา หาประสบการณ์ ลดความเสี่ยงของการย้ายงาน
ตั้งแต่เรื่อง เริ่มจาก ปลูกต้นไม้ 20 ต้นก่อนทำฟาร์มเต็มตัว
หรือเรื่องหาประสบการณ์การดูแลธุรกิจที่อยู่อาศัย ก่อนลาออกจากงานเดิม

ใช้ต้นทุนและสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์

ถ้าบ้านบอยไม่ได้อยู่ปากช่อง
ถ้าพ่อบอยไม่ได้มีที่ดินอยู่แล้ว
ถ้าบอยไม่ได้กลับไปปลูกบ้านใหม่ให้พ่อ
ถ้าอาของบอยไม่ได้ทำ apartment

การที่อยู่ๆจะมาสร้างและ hostel หรือ farmstay
คงลำบากกว่านี้เยอะ

จะเห็นได้ว่า ไอ้บอย มันใช้ต้นทุนที่มีทุกอย่างให้เป็นประโยชน์



สรุป

สุดท้ายนี้ก็อยากฝากเรื่องราวของไอ้บอยนี้
ไว้เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่นะ
ลองนู่นลองนี่ไปเรื่อยๆ อดทน ท้อแล้วลุกขึ้นใหม่เรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ใครสนใจไปเที่ยวปากช่อง
อุดหนุนไอ้บอย
ลองเข้าไปเช็คดูตามข้างล่างเลย

At HOME Hostel
https://www.facebook.com/ATHOMEPakchong/

และ

บ้านนอกฟาร์มสเตย์
https://www.facebook.com/BaanNorkFarmStay/


January 21, 2017

ประสบการณ์ฝึกงานที่ Google รอบสอง



โพสนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ การไปฝึกงานที่ google สาขา mountain view เป็นรอบที่สอง ซึ่งทีแรก ก็นึกว่าจะไม่ต่างจากครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วเท่าไร (อ่านประสบการณ์ฝึกงานรอบที่แล้ว คราวที่แล้วเรื่องการสัมภาษณ์ได้ที่นี่ และเรื่องการทำงานได้ที่นี่) ปรากฏว่า รอบนี้มีความแตกต่างกันมากทีเดียว ทั้งเรื่องตัวงาน หัวหน้า เพื่อนและครอบครัว ซึ่งทำให้มีความรู้สึกดีๆเทียบกับคราวที่แล้วมากๆ เอามาแบ่งให้อ่านๆกัน รวมถึงเตือนตัวเองในอนาคตด้วย


หมายเหตุ


สิ่งที่เขียนทุกอย่างเป็นความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ใช่ความคิดเห็นของ google ข้อมูลการทำงานภายใน google ที่เขียนในนี้ทั้งหมด สามารถ search หาได้ public เราแค่เอามารวมไว้เล่าเรื่องราวให้ต่อเนื่องเป็นชิ้นเป็นอัน รวมเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น


สัมภาษณ์


เราไม่รู้ว่าเราทำงานเมื่อปีที่แล้วดีแค่ไหน แต่เราคิดว่าเราทำได้ตามเป้าหมายพอดีๆ รอบนี้เราเลยไม่ต้องสัมภาษณ์แบบเขียนโปรแกรมอีกแล้ว เค้าให้ข้ามไปขั้นตอนเลือกทีมได้เลย ขั้นตอนการเลือกทีมเหมือนกับครั้งที่แล้วแหละ คือ เรากรอกแบบฟอร์มว่าเรา ถนัดทำอะไร สนใจทำอะไรบ้าง และอยากทำออฟฟิสไหน ฯลฯ แล้วทางทีมใน google ซึ่งมีโปรเจคที่เหมาะสมก็จะติดต่อมา โดยจะมีผู้ประสานงานฝ่าย HR เป็นคนนัดประชุม ส่งข่าว และจัดการเรื่องการเซ็นสัญญา รอบนี้กรอกฟอร์มไปแบบ flexible มาก คือ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสิ่งที่วิจัยอยู่ตอนนี้ ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆก็พอละ รับชั้นทีเถอะนะ ขอร้อง รอบนี้ดวงดีกว่าคราวที่แล้วมากๆๆๆ มีทีมติดต่อมาเร็วมาก ก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์เพื่อหัวหน้าโปรเจคจะได้คุยรายละเอียดกับเรา คนที่ติดต่อมารอบนี้ เป็นพี่แขกผู้หญิง ชื่อ อะดีตี้ (ต่อไปนี้จะเรียก เจ๊) ซึ่งสำเนียงแขกนี่ เราก็คิดว่าเราชินมาจากมหาวิทยาลัยแล้วนะ ก็ยังฟังยากอยู่ดี แต่ อย่างน้อยก็จับใจความสำคัญโต้ตอบได้ สรุปว่า โปรเจคเกี่ยวกับการเขียน compiler สำหรับภาษาหนึ่งที่ใช้ภายใน google ก็ตรงกับ background ที่เรียนมา เช็ดโด้ว์ ไม่คิดว่าจะได้ทำด้านนี้จริงๆ เราก็ถามคำถามเค้าค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ว่าทีมมีกี่คน ติดต่อกับทีมอื่นไหม ประชุมบ่อยไหม ใช้ภาษาอะไร ใช้ tool ตัวไหน ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ให้ติดต่อใคร มีเด็กฝึกงานคนอื่นไหม ที่จะทำเป็น service หรือ standalone ต้องติดต่อ service อื่นบ้างไหม ต้องดูข้อมูลอะไรบ้าง test ระบบยังไง ประเมินผลยังไง ซึ่งเราคิดว่าจากจำนวนคำถามบวกกับน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของเรา ทำให้เจ๊พอจะรู้ว่าเราสนใจโปรเจคนี้มาก นอกจากแสดงให้เห็นว่าเราสนใจ เราก็ต้องพยายามขายว่าเรามี background ด้านนี้จริงๆ เราก็จะพยายามขุดโปรเจคอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ compiler ตั้งแต่ตอนเรียนโท ตอนทำงานเก่า ขุดขึ้นมาพูดเรื่อยๆระหว่างคุยกัน คุยเสร็จก็บอกเจ๊ไปอย่างชัดเจน ว่า เราสนใจโปรเจคนี้มาก อยู่ในกำมือของเจ๊แล้วแหละ ว่าเห็นเราเหมาะสมกับงานหรือไม่ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถัดมา HR ส่งอีเมลมาแสดงความยินดี คุณได้ทีมแล้ว เย่


ทำงาน

รอบนี้ทำ 12 สัปดาห์เหมือนคราวที่แล้ว แต่เจ๋งตรงที่ไม่ต้องนั่ง orientation หลายๆวันเหมือนคราวที่แล้ว
รายงานตัวครึ่งวันปุ๊ปเริ่มทำงานได้เลย รอบนี้ทีมเล็กกว่าคราวที่แล้ว หลักๆทำงานกับ เจ๊ กับ team lead อีกหนึ่งคน ไม่มีเด็กฝึกงานคนอื่นให้เปรียบเทียบผลงาน (รอดตายแล้วๆ เพราะเรากระจอกกว่าแน่นอน) แต่เจ๊เองก็เป็นพนักงานประสบการณ์น้อยกว่า เอริก (หัวหน้าเมื่อปีที่แล้ว) ค่อนข้างเยอะ เวลา code review จะเรียนรู้อะไรน้อยกว่าคราวที่แล้วหน่อย แถมมีหลายๆครั้งที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้ารีวิวมา ก็มีโต้ตอบกันไปมา (อย่างมีเหตุมีผล) อยู่เรื่อยๆ แต่สิ่งที่เจ๊มีแต่เอริกไม่มีคือ เวลา รอบที่แล้วเราเจอ เอริก ประมาณสัปดาห์ละครั้ง รอบนี้ เจ๊ มาคุยที่โต๊ะหลังทุกพักเที่ยง แวะมาครั้งละ 30 วินาทีถึง 5 นาที เพื่อถามว่ามีอะไรติดขัดไหม ส่วนใหญ่แล้ว เรื่อง technical จะโอเค แต่เรื่องที่เจ๊ช่วยได้เยอะที่สุด คือ ช่วยวางแผนว่า ทำอะไรต่อดีใน 24 ชั่วโมงถัดไป มีอะไรที่เจ๊จะคุยกับทีมอื่นให้ได้หรือไม่ หรือมีอะไรที่เจ๊ช่วยลด scope ได้หรือไม่ (บางทีปัญหามันใหญ่เกินไปจะทำไม่ทันเอา ก็ต้องลด case ที่จะ handle ให้น้อยลงอะไรงี้)
สรุปคือ อะไรที่เราจัดการได้ เจ๊ไม่ยุ่ง แต่อะไรที่เจ๊มีอำนาจตัดสินใจและช่วยเราได้ เค้าช่วยเต็มที่ แต่มีวิธีทำงานอย่างนึงที่เจ๊อยากให้ทำ แต่เราไม่เห็นด้วยคือ การ commit code ยักษ์ ก็คือ หนึ่ง commit แบบเป็นพันๆ line of code เราก็พยายามดันๆเล็กน้อย ขอเป็น commit จิ๋วๆหลายๆอัน
เค้าก็บอกว่า อันนี้ให้รวมกับ commit ใหญ่ไปเลย เป็นงี้หลายๆครั้งเราก็โอเค ตราบใดที่เจ๊ review ให้ทันเราฝึกงานจบได้เป็นพอ เอาที่เราสามารถส่ง code คุณภาพให้ได้เยอะสุด พอละ
ประมาณ 4 สัปดาห์แรก ใช้เวลาไปกับการเขียน code ใหม่ โปรเจคของเรา ตอนแรกมันฟังดูจะเป็นอะไรที่ lightweight มาก เลยไม่อยากไปพยายาม extend code เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน ต้องเข้าไปทำความเข้าใจอีก แต่จบไป 4 สัปดาห์ เจ๊ บอกว่า ไอ้ที่เราทำมันจะคล้ายอันที่มีอยู่แล้วเข้าไปทุกทีละ สรุปก็คือต้อง extend code เดิมอยู่ดี แล้วก็โละ code ใหม่ของเราทิ้งให้หมด ซึ่งเป็นการตัดสินใจด้วยกันที้เราเห็นด้วยและแฮปปี้ที่จะทำ กลับมาอ่าน code รอบนี้ ก็เข้าใจ code มากขึ้นเยอะแล้ว ที่เหลือก็เลยเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา รอบนี้โชว์ผลงานง่ายกว่าคราวที่แล้ว ประมาณว่า เราเขียน compiler หน้าที่มันก็คือ ต้อง compile code ที่ซับซ้อนพอให้ได้ แล้วทางเจ๊ ก็มี code ที่ใช้ test รอเราอยู่แล้ว ก็เลยแค่ทำไปเรื่อยจนมัน compile ได้ก็ถือว่าตามเป้าแล้ว


ประเมินผลงาน

สรุป ผ่านไปจนจบ 12 สัปดาห์ ส่งงานได้ตามเป้า ไม่มีเรื่องตื่นเต้นเท่าไร แต่ผลประโยชน์โดยรวมที่โปรเจคนี้มีให้ google ก็ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับคราวที่แล้ว เข้าเรื่องผลประโยชน์ที่ทำให้บริษัทนิดนึง ภาษาอังกฤษเค้าใช้คำว่า impact ไหนๆรอบนี้ได้ทำงานกับเจ๊ ก็เลยได้เปรียบเทียบกับ เอริก เมื่อปีที่แล้ว สิ่งที่ทำให้เอริกมีตำแหน่งสูงไม่ใช่แค่ความเก่ง แต่เป็นเรื่อง impact ที่ทำให้บริษัท เอริกได้สร้างระบบที่มีประโยชน์กับ google ที่พนักงานเป็นร้อยๆทีมได้ใช้ประโยชน์ ตำแหน่งเค้าก็เลยสูง (https://www.quora.com/How-do-engineers-get-promoted-at-Google) เราว่าอันนี้เป็นข้อคิดที่สำคัญใช้ได้เลย ไม่ใช่แค่ในเรื่องการทำงาน แต่เป็นเรื่องการดำเนินชีวิตด้วย คนเรานอกจากจะพยายามพัฒนาตัวเอง ควรจะเอาจุดแข็งของตัวเองมาทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วย แล้วสังคมจะยินดีต้อนรับขึ้น




บรรยากาศการทำงาน


รู้สึกว่าคราวที่แล้วไม่ได้เขียนเรื่องนี้ เลยเอามาแปะตรงนี้แหละ
บรรยากาศการทำงานที่ google ที่เราประทับใจที่สุด คือ การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน

ทุกคนที่นี่เก่งหมด
เท่าที่ผ่านมาในชีวิต เรารู้สึกว่า คนเก่งจะมี ego นิดนึง
แต่ที่ google เหมือนว่าทุกคนจะเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกันเยอะ

แนะนำให้อ่านโพสนี้ ซึ่งรายงานผลการวิจัยของทีมภายใน google
ว่า ความรู้สึก "ปลอดภัย" ว่าเราสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่กลัวโดนว่า
เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด ของทีมที่ทำงานได้ดีใน google

ไม่ใช่แค่เรื่องเคารพความคิดเห็นกัน
เหมือนว่า พนักงาน google เคารพในความเป็นมนุษย์ของทุกคนอะนะ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า respect อธิบายเป็นไทยไม่ค่อยถูกนะ
แต่คือ เคารพทุกอย่าง การกระทำทุกอย่างที่ออกไป พยายามไม่ก้าวก่ายอีกฝ่าย

ถ้าเรามีบริษัทของเราเองซักวัน
เรื่องความเคารพ เพื่อนร่วมงานนี่จะเป็นอันดับต้นๆที่จะพยายามปลูกฝังพนักงานเลย




เพื่อน


รอบนี้มีเรื่องที่ประทับใจเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับคราวที่แล้ว ปีที่แล้ว เรามีน้องคนไทยที่มาฝึกงานที่เมืองเดียวกัน แค่หนึ่งคน เท่าที่รู้ มีคนไทยอีกอย่างน้อยหนึ่งคน แต่เค้าไปทำอีกเมืองนึงเลยไม่ได้เจอกัน รอบนี้มีคนไทยฝึกงานเมืองเดียวกันอีกอย่างน้อย 5 คน แต่ที่เจอแบบบ่อยมากๆๆๆๆ ก็ 4 คนนี้แหละ

ทุกคนนี่มีความโหดๆทั้งนั้น ตั้งแต่เด็กคณิตศาสตร์โอลิมปิกเหรียญทอง จนถึงคนที่เก่ง competitive programming ระดับต้นๆ ร้อยๆคนแรกของโลก พวกนี้เด็กกว่าเรา 10 กว่าปี ก็มี เราก็เลยเป็นคุณลุงโปรแกรมเมอร์ธรรมดาๆคนนึง ที่ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ท่ามกลางเด็กๆเก่งๆหลายๆคน
สนุกดีนะ

พวกนี้น่าจะเก่งกว่าเราทุกคนอะนะ
แต่ที่น่ารักก็คือ เวลาเราพูดอะไร เค้าก็ฟังกันหมดนะ
แบบ เป็นเด็ก เนิร์ด ที่น่ารักๆอะ เลยทำให้เราสนิทกับกลุ่มนี้อยู่
แล้วจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อยู่ๆรอบนี้มีคนลากเข้า group chat ใหญ่ ที่มีพวก fulltime และเด็กฝึกงานที่ google ทั้งหลาย เลยได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นเยอะ (เทียบกับปีที่แล้วอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว) เวลามีกินข้าวหรือกิจกรรมอะไรกัน เราก็เลยได้ไปร่วมเรื่อยๆ ค่อนข้างจะกลมเกลียวกันดี อย่างนีงที่เราชอบมากๆกับกลุ่มๆนี้ คือ ไม่มีใครวิชาการเลย เวลานั่งคุยกัน จะเป็นเรื่องไร้สาระซะเยอะ อะไรที่ไม่เป็น ก็จะไม่อวด เช่น เตะบอลไม่เป็น เค้าก็จะบอกว่า “โอ้ย ผมกากครับ” ปล่อยมุกใส่เค้าก็ไม่ถือสา ช่วยหัวเราะ 5555 ให้อีกตะหาก รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมาก รอบนี้ จากกิจกรรมกลุ่มภายใน google เราก็เลยได้ไปกิจกรรม คนไทยใน bay area ด้วย (bay area คือชื่อเรียกเมืองต่างๆบริเวณนั้นโดยรวม) ซึ่งหลักๆที่เราร่วมก็คือ กีฬาเนี่ยแหละ ซึ่งมีตั้งแต่ตีแบต เล่นบาส และเตะบอล แล้วพี่ๆน้องๆที่เจอมาทั้งหมด ก็ได้อารมณ์เดียวกัน คือ นิสัยดี เป็นมิตร มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่อวดฉลาด ฯลฯ


ครอบครัว


อีกอย่างนีงที่ต่างไปสำหรับรอบนี้ คือ ได้อยู้บ้านเดียวกับเดียร์ (ภรรยา) ได้เจอกันทุกวัน คราวที่แล้ว เดียร์อยู่เมืองที่ห่างไป 2.5 ชั่วโมง มารอบนี้เดียร์ได้ทำงานอย่างเต็มตัว อยู่ห่างไปแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็เลยขับไปกลับได้ทุกวัน เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงต่อวันก็เหมือนๆกับสมัยตอนทำงานอยู่ กทม เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันนานมากขนาดนั้น

(ขับไปหลายพันไมล์เหมือนกัน ตอนเพิ่งเช่ารู้สึกจะสามหมื่นปลายๆ)
การได้อยู่กับเดียร์ทุกวันมันความรู้สึกจากปีที่แล้วค่อนข้างเยอะ แทนที่วันๆไปทำงานแล้วก็กลับไปอยู่กับแมว

รอบนี้เหมือนมีบ้านให้กลับไปพักผ่อนทุกวัน ทำให้ฝึกงานรอบนี้ รู้สึกชิวๆ สบายๆ กว่าคราวที่แล้ว


บทเรียน


ก็เล่าประสบการณ์เท่าที่จำได้ไปหมดละ อยากจะสรุป บทเรียนต่างๆที่คราวนี้ได้มา
เป็นบทเรียนส่วนตัวนะ อาจจะมีทั้งที่ตรง และไม่ตรงกับความคิดใครหลายๆคน
มีบ้านไว้พักผ่อนเสมอ
ไม่ว่าเราไปที่ไหนก็ตาม ควรจะมีสิ่งที่รู้สึกเหมือน “บ้าน” ไว้พักผ่อน บ้านเป็นที่ที่เราอยู่แล้วได้รู้สึกว่า หลุด จากโลกภายนอกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่มีภรรยารออยู่ ที่พักที่มีเพื่อนสนิท โซฟาที่ใช้นั่งดูหนัง ตู้ปลา เบาะโยคะ ฯลฯ หาบ้านของตัวเองให้เจอ เพื่อนสำคัญ อันนี้เพิ่งเขียนถึงเมื่อโพสที่แล้ว เข้าไปอ่านได้ที่นี่ ถึงกิจกรรม สิ่งที่ทำจะไม่ฟิน ตราบใดที่เพื่อนฟิน ทุกอย่างจะดีเอง เก่งไม่พูด เก่งถาม เราถูกล้อมรอบด้วยคนที่เก่งกว่าเราเต็มไปหมด สิ่งที่เราสังเกตได้ คือ เวลามีคำถามอะไรขึ้นมา พวกนี้ไม่อวด ไม่รีบแย่งตอบ เค้าจะรอฟังคนอื่นตอบแล้วเค้าก็จะแซมๆขึ้นมา เวลาเราเล่าอะไรให้ฟัง พวกนี้จะค่อยๆให้เราเล่า ไม่แทรกด้วยอะไรที่เค้ารู้อยู่แล้ว แล้วก็จะถามคำถามต่างๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงใจ ในสายตาเรา พวกเนี้ยะแหละเก่งจริง
พัฒนาตัวเองเพื่อทำประโยชน์ให้คนอื่น อันนี้อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่เราคิดว่าเป้าหมายการพัฒนาตัวเองน่าจะเป็นเพื่อเอาไปช่วยคนอื่น มากกว่าที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อตัวเอง มีแนวคิดนึงที่เราใช้ในการเล่นดนตรี
เผื่อคนอื่นเอาไปประยุกต์กับกิจกรรมอื่นได้

เก่งดนตรีมันก็สนุกอะนะ แต่ถึงเราเก่งดนตรีแค่ไหน ถ้าช่วยให้เพื่อนเล่นเพลงเพราะขึ้นไม่ได้ มันก็สนุกไม่สุด ช่วยลูกน้องในสิ่งที่ลูกน้องทำไม่ได้ เมื่อเราเป็นหัวหน้าคน เราต้องช่วยให้คนในทีมประสบความสำเร็จ อะไรที่เค้าทำได้ ก็อย่าไปควบคุมเค้า (micro-manage) ให้ช่วยในอะไรที่เค้าต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น หรือถ้าอยากช่วยอะไรที่เค้าทำเป็นแล้ว ก็ช่วยเพื่อประหยัดเวลาลูกน้อง เค้าจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กว่า เราคิดว่า หน้าที่ของหัวหน้าที่ดี คือช่วยให้ลูกน้องทำงานได้เต็มที่ไม่ติดขัด คอย อุดช่องโหว่ ในการทำงานให้เค้า อันนี้ต้องขอบคุณ เจ๊ ที่ทำให้การทำงานของเราโคตรจะราบรื่น รู้จักปรับตัวตามเพื่อนร่วมงาน
หลายๆ อย่างในชีวิต มันไม่อุดมคติ
ถ้าเป็นไปได้ โลกที่สวยงาม คือ ทุกคนยอมรับความคิดเห็นอีกคนนึงและยอมเปลี่ยน แต่โลกที่สวยงามนั่นมันสร้างยากนะ ต้องใช้เวลา

เมื่อก่อนเราคิดว่า สไตล์การทำงานหรือการใช้ชีวิตของเรา ตราบใดที่ไม่ทำความเดือดร้อนใคร มันก็โอเคใช่มะ แต่เท่าที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า การที่เรายอมเป็นฝ่ายเปลี่ยนตัวเองนิดๆหน่อยๆ มันทำให้เราทำงานได้ราบรื่นขึ้น และได้เพื่อนมากขึ้นด้วย พูดง่ายๆจาก "เป็นตัวของตัวเอง ตราบใดที่ไม่ทำใครเดือดร้อน" กลายเป็น "เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับคนอื่น ตราบใดที่ตัวเองไม่เดือดร้อน"
จะยังไงก็ตาม อย่าลืมมองตัวเองด้วย หลายๆครั้ง ตัวเราอะไม่ดีเอง แล้วควรจะเปลี่ยนจริงๆ




สรุป

ฝึกงานรอบนี้สนุกมาก ได้บทเรียนดีๆเยอะอยู่ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้การฝึกงานผ่านไปอย่างสนุก ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตามด้วย