July 21, 2015

ทำยังไงถึงจะเทพ

ขอเริ่มต้นโพสด้วยภาพประกอบ เกรดเมื่อตอนเป็นเฟรชชี่ธรรมศาสตร์ปี 1


blurred


เมื่อตอนประถมกับมัธยมเรามักจะได้ทอปวิชาภาษาอังกฤษกับเลขเสมอ
ตอนจบ ม.6 เกรดเฉลี่ยเราได้ที่หนึ่งของสายวิทย์ด้วยซ้ำ (แต่จริงๆแล้วสาเหตุที่ช่วยมากๆ คือ คนเก่งๆออกไปเตรียมอุดม หรือเรียนต่างประเทศหมด)


แต่ว่าหลังจากเราจบมัธยมออกไปแล้ว
เราก็ได้เจอคนที่เก่งกว่าเราเต็มไปหมด


ตั้งแต่ป.ตรี เราก็เจอคนที่เด็กกว่าที่ส่งโปรเจคเข้า NECTEC ชนะเลิศ
ตอนทำงานที่แรก เราก็เจอคนที่เขียนโปรแกรมหา memory leak อัตโนมัติ ด้วยตัวคนเดียว
ตอนป.โท อาจารย์สอนอะไรตามไม่ทัน ต้องกลับไปอ่านเองเป็นชั่วโมง เราก็เจอคนที่เข้าใจในห้องเรียนทันทีและตอบคำถามอาจารย์โช๊ะๆๆ
ตอนทำงานอีกที่นึง เจ้านายเราอ่านเปเปอร์วิจัยเพื่อเอาไอเดียมาเขียนเวบแอพ และเหมือนจะทำอะไรเป็นทุกอย่าง ตอนนี้ startup ไปได้สวยมาหลายปีแล้ว
และตอนนี้เราเรียน ป.เอก เราก็เจอคนที่เขียน code ประเภทแข่งขันระดับโอลิมปิกตัวเป็นๆหลายคน


ด้วยสาเหตุนี้เราจึงไม่เคยเรียกตัวเองว่า expert หรือแม้แต่คำว่า geek (ใครเรียกเราว่า geek โกรธ แฮ่ๆ)


เรารู้สึกว่าคนพวกนี้มีอะไรที่เราไม่มี สองอย่าง ก็คือ (1) ความสามารถ และ (2) การใช้เวลากับสิ่งที่สนใจ






ความสามารถ


ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม คนเราเกิดมาด้วยสมองไม่เท่ากัน
บางคนไม่ว่ายังไงก็ฉลาดกว่าเราจริงๆ


สิ่งที่คนพวกนี้ได้เปรียบก็คือในหนึ่งวันเค้ามีเวลามากกว่าเรา


หมายความว่า ถ้าเราต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงเข้าใจอะไรบางอย่าง
คนเหล่านี้จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที
พวกนี้ได้กำไรในชีวิต ชั่วโมงละ 50 นาที มากกว่าคนเดินดินอย่างเรา






การใช้เวลากับสิ่งที่สนใจ


เวลาที่เราคุยกับคนพวกนี้ มักจะพบว่าพวกนี้เค้ามีความสนใจในเรื่องที่เค้าเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ
แล้วถึงแม้ว่าจะโตขึ้นก็ยังใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่ทุกๆวัน วันละหลายชั่วโมง


ตรงข้ามกับเราซึ่งเราเอาเวลาว่างไปนั่งเล่นนอนเล่น
น่าจะเป็นเพราะเราเป็นคนขึ้เกียจ
บวกกับว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบที่สุด






ผลสุดท้ายเราก็
ไม่ได้เก่งเขียนโปรแกรมแบบเขียนแข่งขันกับเขาได้ แต่ก็เป็นโปรแกรมเมอร์นิสัยดีส่งงานได้
ไม่ได้เก่ง algorithm แต่พอเข้าใจว่าอะไรทำงานยังไง แล้วถ้าให้อ่านเพิ่มเติมก็พอเข้าใจ
ไม่ได้เก่งคณิตศาสตร์ แต่เพ่งอะไรซักอย่างเป็นเวลานานๆ เราก็อาจจะพิสูจน์สิ่งที่เราสนใจได้
ไม่ได้เป็นเทพดนตรี แต่สามารถเล่นวงกับเพื่อนได้
ไม่ได้เป็นนักบอลอาชิพ แต่สามารถชวนเพื่อนเตะบอลสนุกๆได้
ฯลฯ


เกริ่นมานาน ขอเข้าเรื่อง “ทำยังไงถึงจะเทพ”


ข่าวดีก็คือ (1) เราเทพได้ถ้าอยากเทพ และ (2) เราไม่จำเป็นต้องเทพ






เราเทพได้ถ้าอยากเทพ


ในโลกที่มีเป็นพันล้านคน การจะเตะบอลให้เก่งที่สุดในโลกนั้นยากมากกกกกก
แต่ การเป็นนักบอลที่เล่นกีตาร์เป็นที่เก่งที่สุดในโลก มีโอกาสมากขึ้น
และ การเป็นนักบอลที่เล่นกีตาร์เก่ง แถมกินมาม่าได้ 10 ห่อภายในหนึ่งนาที ที่เก่งที่สุดในโลก มีโอกาสมากขึ้นอีก


ประเด็นคือ คนเราเกิดมาด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทุกคนมีประสบการณ์เป็นเอกลักษณ์แม้กระทั่งฝาแฝด
ความเทพที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา ก็เลยเป็นอะไรที่รวมความสามารถหลายๆอย่าง จากประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเรานั่นเอง


ถ้าเราสามารถหาวิธีเอาประสบการณ์การเขียนโปรแกรมที่ธรรมดาๆ บวกกับการเล่นกีฬาที่ธรรมดาๆ บวกกับการเล่นดนตรีที่ธรรมดาๆ บวกกับ …
มาทำให้เกิดประโยชน์กับคนได้ เท่านั้นเราก็บังเกิดความเทพที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาได้ละ






เราไม่จำเป็นต้องเทพ


ไม่รู้ว่าทำไมคนเราถึงเกิดมาชอบแข่งขัน (ขึ้เกียจ search)
แต่ขอเดาว่า เกิดจากบรรพบุรุษต้องแข่งขันกันล่าสัตว์หาที่อยู่เพื่อความอยู่รอด มันเลยถูกบันทึกไว้ในสมอง
พอมาถึงปัจจุบันก็เดาว่าเป็นเรื่องค่านิยมในสังคมที่คนเราต้องเรียนต่อสูงๆ ทำงานที่ดีๆ เลยแข่งขันกันเข้าโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือที่ทำงานดีๆเหล่านั้น


มาลองคิดดู มันฝังมาในสมอง ว่าคนเราชอบสังคม
คนเราต้องการการยอมรับจากสังคม หนึ่งในวิธีให้คนยอมรับก็คือ การเป็นเทพ


หรือออออ


อีกหนึ่งวิธีที่ทำให้สังคมยอมรับ ก็คือ ทำอะไรดีๆให้สังคม


ไม่ว่าสังคมขนาดเท่าไหน เราก็ทำอะไรดีๆได้
เริ่มจากสังคมที่มีคนแค่สองคน เคยช่วยเหลือรับฟังทุกข์สุขกันบ้างไหม
หรือสังคม 3-5 คน เคยเล่นดนตรีเพื่อความสนุกของคนอื่นในวง มากกว่าสั่งให้เล่นให้ตามเพลงเป๊ะกันบ้างไหม
หรือสังคม 11 คน เคยเตะบอลเพื่อความสนุกของคนอื่น มากกว่า ด่าเวลาคนอื่นเล่นห่วยบ้างไหม
ฯลฯ


และทุกสายอาชืพ ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพ ก็ทำอะไรดีๆให้สังคมได้
ภารโรง ไม่เก่งเลขเท่าเด็กโอลิมปิก แต่โรงเรียนสะอาด เด็กๆไม่ติดเชื้อโรคก็เพราะภารโรง
อาจารย์ประถม อาจจะจบไม่สูงเท่าอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ถ้าไม่มีอาจารย์ประถม เด็กจะโตขึ้นไปเป็นอะไรก็ไม่รู้
โปรแกรมเมอร์ อาจจะไม่ได้เทพ เขียนโค้ดก็ช้า มีบั๊กบ้าง แต่ถ้าเขียนแอพที่ช่วยแก้รถติดได้ ก็เจ๋งเป็นไหนๆแล้ว
ฯลฯ


​ฉะนั้นยังไม่สาย มาหาความสามารถที่ผสมผสานกันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และทำสิ่งดีๆให้คนอื่นกันดีกว่า


เนอะ :D