December 21, 2017

ความทุกข์มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์


(เกม mario ภาคนึง ด่านสุดท้ายยากมากกว่าจะเก็บดาวครบ
แต่สำหรับคนเล่นเกมมืออาชีพ คงจะชิวๆ)




เด็กเมพ บน youtube

เราชอบนั่งดูคนเล่นดนตรีบน youtube นะ
มันจะได้อารมณ์ห้องซ้อมดนตรีที่เราไปกับเพื่อนตอนเด็กๆ

นานๆทีมันก็จะมีคลิปแบบที่เป็นเด็ก 4 ขวบ
โชว์กีตาร์โซโลโหดๆ เร็วๆ แบบแนว hard rock

แล้วก็จะมีคนที่มาเม้นว่า


เด็กพวกนี้ก็คิดแต่ว่า โซโล่กีตาร์มันเป็นเรื่องของความเร็ว
จริงๆ มันมีมากกว่านั้น เฉยๆหวะ... ถุด...


แล้วก็จะมีคนมาตอบว่า

“ตอนมึง 4 ขวบ มึงทำเชี่ยไรสัส”

สรุปก็คือ การที่เด็ก 4 ขวบทำได้เท่านี้มันยอดแค่ไหนแล้ว ใช่ปะ


เพื่อนที่ทำงานออกมาไม่ดี

เอาอีกตัวอย่าง ใกล้ตัวกว่านี้

มีเพื่อนมันเครียดเรื่องงาน ว่าผลมันไม่ออกตามที่ควร
เพื่อนอีกคนนึงที่แทบจะหางานไม่ได้ และเกือบถูกไล่ออก
บอกว่า ชีวิตมันมีอะไรต้องเครียดกว่านี้อีกเยอะ เราต้องเรียนรู้ที่จะอดทน

แต่ เพื่อนที่เครียดเรื่องงาน ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น


ความทุกข์ของใครโหดกว่ากัน

ทั้งสองตัวอย่างที่เล่ามานี่
มีอะไรที่เหมือนกัน ก็คือ
พวกนี้วัดความทุกข์เป็นหน่วย absolute

แปลเป็นภาษาไทย คือ ขอทาน มีความทุกข์มากกว่า คนมีบ้านแต่ผ่อนรถไม่ทัน

ก็ถูกประมาณนึง ถ้ามองในความเป็นจริง

แต่

สิ่งที่สำคัญในการสร้างเพื่อน คือ อะไร

สิ่งสำคัญ คือ การรับฟัง เห็นอกเห็นใจ และเป็นผู้ฟังที่ดี

เราเคยเขียนเรื่องนี้มาก่อนนิดนึงในโพส ฉันเครียดที่สุด ฉันมีความสุขที่สุด
วันนี้เราคิดว่ามีวีธีตีความที่ช่วยให้เอาไปใช้ได้ง่ายขึ้นนิดนึง
เลยมาเขียนแบ่งกัน


ความทุกข์มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์

สมมติมีเด็กสปอยคนนึง ที่มีทุกอย่างในชีวิต
แล้ววันนึงเกิด ไม่ได้สิ่งที่ต้องการขึ้นมา
ชีวิตเค้าแทบจะดับทันที

เด็กสปอยมีความอดทน 2
การที่เค้าจองร้านอาหารตอน 1 ทุ่มไม่ได้เพราะร้านเต็ม
เจอ damage ไป 1
พลังลด 50%

เด็กประเทศกันดาร ไม่มีน้ำสะอาดใช้กิน
ความอดทน 10000
วันนึงแม่ติดเชื้อจากน้ำไม่สะอาดป่วยหนัก
ลูกก็เศร้า เจอ damage 5000
พลังลด 50%

ถ้ามองอย่างเป็นกลาง
ปัญหาของเด็กสปอย แม่งกระจอกไปเลย

แต่เราควรจะเมินเด็กสปอยเวลาเค้ามีความทุกข์ปะ

ไม่ใช่

ถ้าเด็กสปอยนั้นเป็นเพื่อนสนิทเรา
มันมีความทุกข์ 50%
มันคือ โคตรเยอะ อะ

ไม่ได้บอกว่า ให้สปอยมันต่อไป
แต่บอกว่า ให้รับฟังและเห็นใจมัน


ความสุขหรือความสำเร็จก็เหมือนกัน


กลับมาตัวอย่าง youtube
เด็ก 4 ขวบ ชีดจำกัดความสามารถด้านดนตรี เต็ม 100
เล่นกีตาร์เร็วดั่งสายฟ้า
เอาคะแนนไป 80
ความสำเร็จ 80%

มือกีตาร์ jazz อาชีพ ขีดจำกัดความสามารถด้านดนตรี 5000
เล่นกีตาร์ให้ผู้ฟังมีความสุขถึงระดับจิตวิญญาณ
เอาไป 4000 คะแนน
ความสำเร็จ 80%

ถ้าอยากให้กำลังใจคนโพส
ควรชื่นชมเท่าๆกันนะ

แต่บางที
คนเรามองว่า ความจริงและความเท่าเทียมกัน
อยู่เหนือ ความรู้สึกของคน

ซึ่งมันก็มีกรณีที่ต้องทำงี้นะ
เช่น การ ให้คะแนนร้านอาหาร
ที่ควรจะตรงไปตรงมากับการบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวนี้ให้ 5 เต็ม 10
เพื่อว่า คนอื่นจะได้ระวังเวลามากิน

หรือสำหรับคนที่ให้คุณค่ากับความจริงที่ตรงไปตรงมา
มากกว่าเรื่องความรู้สึกผู้รับฟัง
ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาออกมา

ในฐานะผู้พูด ก็พูดให้ตรงตามจุดประสงค์
ในฐานะผู้ฟัง ก็ควรจะพยายามเข้าใจจุดประสงค์ผู้พูดด้วย
(ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่ผู้พูดในจังหวะนั้นเค้าอยากพูดความจริง มากกว่า อยากทำให้เรารู้สึกดีขึ้น)


แค่จะบอกว่า
ถ้าอยากเป็นผู้ฟังที่ดี
ที่รับฟังปัญหา หรือ ยินดีด้วยกับความสุขของคนรอบข้าง
แล้วอยากทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้นแล้วละก็

อย่าลืมนะ หน่วยวัดมันเป็นเปอร์เซนต์

December 20, 2017

ทำยังไงถึงจะเปลี่ยนคนอื่นได้

((ถุงขยะแบบย่อยสลายได้ ต้องซ้อนถุง))


รัฐที่เราอยู่ค่อนข้างใส่ใจสิ่งแวดล้อมนะ
มันมีขยะอย่างนึงที่ชื่อว่า compost
ประมาณพวกขยะที่ย่อยสลายง่ายๆ
เช่นเศษอาหาร และใบไม้

เวลาเทศบาลเอาขยะพวกนี้ไปทิ้ง
เค้าจะเอาไปทิ้งแบบที่มันสามารถย่อยสลายกลับสู่ธรรมชาติได้
มันก็ คือๆ การรีไซเคิล ชนิดนึงแหละ

ล่าสุดเดี๋ยวนี้มันมีถุงขยะและกระดาษทิชชู่ย่อยสลายได้ซึ่งเราไปซื้อมาแล้ว
แต่ถุงขยะพวกนี้ ถ้าขยะมันแฉะหน่อย มันจะทะลุใน 2-3 วัน

เดียร์เป็นเชฟประจำบ้าน และมักจะมีขยะย่อยสลายให้ทิ้ง
บางทีเค้าก็ต้องเปลี่ยนถุงเอง
แล้วครั้งแรกๆ เค้าก็ไม่ได้ซ้อนถุง จนบางครั้งขยะมันทะลุ

เวลาเราเห็นว่าขยะไม่ได้ซ้อนถุง
เราก็เรียกเดียร์เข้าไปในห้องครัวแล้วบอกว่า
“ตะเอง ช่วยซ้อนถุงหน่อยได้ป่าว จ๊ะ”

ครั้งถัดมา เดียร์ลืม เราก็พูดแบบเดิม
“ตะเอง ช่วยซ้อนถุงหน่อยได้ป่าว จ๊ะ”

แต่พอมีครั้งไหนที่เดียร์ไม่ลืม
เราก็เรียกเข้าไปในห้องครัวแล้วบอกว่า
“ตะเอง น่ารักจัง จำได้ด้วย ว่าต้องซ้อนถุง”

หลังจากนั้น เท่าที่จำได้ ถุงขยะในถังขยะนั้น ซ้อนถุงทุกครั้งที่เห็น

achievement unlocked


การเปลี่ยนพฤติกรรม

แฟนทะเลาะกัน
พ่อแม่ดุลูก
เจ้านายด่าลูกน้อง
โค้ชด่าผู้เล่นในทีม
โกลด่ากองหลัง

ตัวอย่างพวกนี้มันมีอะไรที่คล้ายๆกัน
ก็คือ ฝ่ายหนึ่งอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรม

ปีนี้เราแต่งงานกับเดียร์มาครบ 10 ปีละ
ก่อนแต่งงานก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันประมาณ 6 ปี
ค่อนข้างราบรื่นแล้วตอนนี้
ถึงแม้ว่าตอนแรกจะโคตรขรุขระก็ตาม
แสดงว่าคู่เราน่าจะต้องทำอะไรซักอย่างถูก มันถึงรอดมาได้


จอร์แดน

เมื่อเร็วๆนี้ เราไปค้นพบ professor คนนึง
ที่มหาวิทยาลัย toronto ประเทศ canada
เค้าชื่อว่า jordan peterson
เป็นอาจารย์จิตวิทยา
หรือเรียกอีกอย่างว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่อง พฤติกรรมมนุษย์นะ

เรารู้จักเค้าเพราะมีข่าวช่วงนึง
ที่เค้าเกือบโดนมหาวิทยาลัยเอาเรื่อง
ตอนที่เค้าออกมาต่อต้านกฏหมายที่กำลังจะออกใหม่อันนึง
ที่ให้พวกที่ไม่ใช่ ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง มีสรรพนามของตัวเอง

คือ ฟังเผินๆ มันเหมือนว่าเค้าไม่เชื่อในความเท่าเทียมมนุษย์ใช่มะ

แบบ ทำไมไม่ยอมเรียกเกย์ ด้วยสรรพนามใหม่แววว้
แต่เหตุผลเค้าคือ ถ้ามันเป็นอะไรที่สังคมใช้กันมาจนเป็นวัฒนธรรมใหม่ก็อีกเรื่อง
แต่การออกกฏหมายที่บังคับให้คนพูดด้วยวิธีใดวิธีนึง
มันละเมิดสิทธิมนุษย์เกินไป
กฏหมายควรจะเป็นอะไรที่ห้ามคนทำแย่ ไม่ใช่บังคับให้คนทำอะไรซักอย่าง

พอฟังแล้วก็ เออ อาจารย์คนนี้เค้าต่อสู้กับกฏหมาย
เพราะเค้ารักความจริง และความถูกต้อง
และไม่สนว่า คนจะมองเค้าว่าใจร้ายหรือยังไง
ก็เลยลองไปดู youtube เค้าเพิ่ม

ก็ไปเจอ lecture ที่เค้าโพสไว้แล้วก็โคตรชอบ
โดยเฉพาะเรื่อง บุคลิกของมนุษย์
ที่ทำให้เราค้นพบว่าเราเป็นคนแบบไหน
แล้วความสุขความทุกข์ในชีวิตที่ผ่านมามันเริ่มมีคำอธิบายกระจ่าง

เราก็มักจะฟังเค้า lecture ระหว่างขับรถไปทำงาน
เพราะมันเพลินดี
(เค้า upload lecture ของเค้าบน youtube)

ฟังไปฟังมา youtube มัน recommend คลิปนึงมาให้ (เดี๋ยวแชร์คลิปให้ด้านล่างนะ)

มันคือสิ่งที่เรากับเดียร์ทำให้ซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ตัว
และคิดว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก
ไม่ใช่แค่ในการใช้ชีวิตร่วมกับคู้ชีวิต
แต่กับมนุษย์คนอื่นโดยทั่วไปด้วย

เราไม่เคยจะเจาะจงออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ลุงจอร์แดนคนนี้ กลั่นออกมาได้ดีมากๆ

เกริ่นมาซะยาว
เราดึงส่วนที่คิดว่าสำคัญ มาสรุปให้ฟังกัน


ทำยังไงถึงจะเปลี่ยนคนอื่นได้

การจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนอื่นที่คนนิยมทำกัน
มันมีสองอย่างนะ
ชม และ ด่า

ทั้งคู่มีประโยชน์ เพราะเป็นการบอกว่า พฤติกรรมไหนดี พฤติกรรมไหนไม่ดี
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องชมและด่าให้ถูกวิธี


ชมแบบสุดหัวใจ

เวลาอีกฝ่ายทำให้ที่เราชอบ
อย่าอยู่เฉยๆ
ชมให้สุดหัวใจ และต้องให้เค้ารู้ด้วยว่าชมอะไร

เวลาอะไรๆมันเป็นไปตามที่เราคิด เรามักจะอยู่เฉยๆโดยอัตโนมัติ

ไม่มีใครคิดว่าผู้ให้บริการ internet มันดี
มีแต่คนด่า ตอนที่มัน offline 1 ชั่วโมง หลังจากออนไลน์มาทั้งปี

สิ่งที่ควรจะทำเมื่อคนอื่นทำได้ตามหน้าที่ คือ ชื่นชมตะหาก

ถ้าสังเกตได้ว่า เวลานัดเป็นกลุ่ม มีเพื่อนคนนึงไม่เคยปฏิเสธ
บอกไปเลยว่า ขอบใจมากที่มากินข้าวด้วยกันทุกครั้งเลย

ถ้าสังเกตได้ว่า แฟนช่วยเอาขยะไปทิ้งให้ในวันที่ทำงานหนักๆ
บอกไปเลยว่า ขอบใจมากที่ช่วยเอาขยะไปทิ้ง น่ารักที่สุด

ถ้ากองหลังช่วยประกบกองหน้าอีกฝ่ายตอนเตะบอล
(ทั้งๆที่มันก็เป็นหน้าที่กองหลังปะ)
บอกกองหลังไปว่า ประกบดี


ด่าสิ่งที่เล็กที่สุด

พอมาถึงเรื่องที่เราไม่ชอบเนี่ยแหละ เห็นง่ายนัก
แล้วเวลาสิ่งที่เราไม่ชอบเกิดขึ้น เราก็มักจะคิดไปไกล

สมมติว่า กำลังคุยกันเรื่องข้อสอบไฟนอลที่เพิ่งผ่านไป
แล้วอีกคนมันดึงเข้าเรื่องที่มันได้ A วิชายากๆ
“ไอ้เชี่ยนี่ แม่งก็เป็นงี้แหละ ทุกครั้งที่พูดเรื่องอะไร มันจะต้องอวดแต่เรื่องของมัน”

แล้วถ้าด่าเพื่อนคนนี้ออกไปแบบนี้ ก็ทะเลาะกัน

จริงๆไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็ได้
แต่พยายามลดคำด่านั้น จนกระทั่งมันเป็นคำขอ อะไรซักอย่าง

ถ้าเพื่อนมันเริ่มอวดเรื่องของมัน ก็บอกมันว่า
“เดี๋ยวขอเล่าเรื่องกูจบก่อนแป๊ปนะ”
พอกลายเป็นคำขอเล็กๆ
ขออะไรที่มันทำได้เดี๋ยวนั้น และใช้พลังงานน้อยๆ
มันก็น่าจะทำให้เราได้

สำหรับพวก engineer หรือพวกชอบแก้ปัญหาจะรู้สึกขัดๆมะ

แบบการแก้ปัญหาควรจะแก้ที่ต้นเหตุ
ถ้ามาขอให้คนเปลี่ยนมี่ปลายเหตุแบบนี้
มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ effective

แต่นี่มันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนและความสัมพันธ์อะนะ
เรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความเร็ว หรือความเจ๋งของการแก้ปัญหา
แต่มันคือการอยู่ร่วมกับคนอื่น
โดยเฉพาะสำหรับคนที่ได้ความสุขจากการใช้เวลาดีๆร่วมกับคนอื่น

การที่เราทิ้งชุดนอนไว้บนพื้น แล้วเดียร์ขอให้ช่วยแขวนชุดนอนที่ราวหน่อย
ไม่ได้แปลว่าเราจะกลายเป็นคนมีระเบียบวินัยมากขึ้นทันที
แต่ความสัมพันธ์ของเรามันแน่นแฟ้นอยู่
เพราะไม่มีการพูดแรงๆใส่กัน
และซักวันหนึ่งเราก็จะมีระเบียบวินัยมากขึ้น

เพราะอย่างนี้แหละ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลูก เพื่อน แฟน เจ้านาย ลูกน้อง ลูกทีม เพื่อนร่วมทีม ฯลฯ
คือ ความอดทน นี่เอง

มันเป็นอะไรที่แทบทุกคู่ที่เราคุยด้วย บอกมา
เป็นอะไรที่ลุงป้าน้าอา บอกในงานแต่งงาน
เป็นอะไรที่เราสัญญาตัวเองไว้ก่อนตัดสินใจเป็นแฟนกับใคร

ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด
แต่เราคิดว่า skill ความอดทน ยิ่งมากเท่าไร
ยิ่งมีผลดีกับการค่อยๆ รอให้คนอื่นเปลี่ยนพฤติกรรม โดยไม่ทำร้ายน้ำใจกัน


สิ่งที่แย่ที่สุด

ก่อนจบโพสนี้ ขอเตือนอีกเรื่อง

สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกแย่ที่สุด
คือ การด่าเวลาอีกฝ่ายหนึ่งทำดี

เอ้า มันก็แหงสิ ใช่ปะ
แต่มันเป็นอะไรที่เผลอทำโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายมากๆ
ลองคิดดูนะว่าเคยทำอะไรคล้ายๆแบบนี้โดยไม่รู้ตัวนานเท่าไร

ยกตัวอย่าง

ส่งงานให้เจ้านายเกินกว่าที่ขอ เพราะ ชอบงานที่ทำอยู่มาก
เจ้านายชี้ข้อผิดพลาด แล้วบอกให้ทำอะไรเล็กๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล

แฟนทำอาหารให้ surprise ให้
บอกแฟนว่าจริงๆวันนี้อยากกินข้าวนอกบ้านมากกว่า

ฯลฯ


เอาไปลอง

ถ้าใครไม่เคยลองชมหรือด่าคนอื่นแบบนี้
แนะนำมากๆนะให้ลองเอาไปใช้กับคนรอบข้างดู
ถ้าถึงขนาด professor เอามาพูดใน lecture มันต้องใช้ได้กับชีวิตจริงประมาณนึงแหละ

ลองดูนะๆ เชื่อเรา

อ้อ อะนี่ คลิปที่สัญญาไว้
https://youtu.be/ux6TVYqdN-E?t=1h1m50s

December 16, 2017

ไม่มีเวลา ไม่มีพลังงาน ไม่ชอบ

(สนามบอลนี้ เราเคยชวนเพื่อนที่ไม่ชอบเตะบอล มาเตะด้วยกัน)


เรา: เฮ้ย กินข้าวเที่ยงไหมวันพุธนี้
โอ ซังมิน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างเลยพี่ เทอมนี้ลง 20 หน่วย

เรา: เฮ้ย มานั่งชิวกันป่าว มีพวกเราอยู่กันครบเลย
โซล กงซาน (ชื่อสมมติ): โทดทีพี่ ใส่ชุดนอนแล้ว ไว้วันหลังละกันครับ you guys have fun

เรา: เฮ้ย วันอาทิตย์นี้ 4 โมงเย็นไปเตะบอลกัน
คิม จูวอน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างอะพี่ ติดประชุม



ตอนสมัยเราเรียนประถมยันมัธยม เราชอบชวนเพื่อนไปห้องน้ำด้วยกันนะ
ฟังดูแปลกๆ แต่แบบ คือ จะไปไหนเราชอบมีเพื่อนไปด้วยเสมอ

คนไหนที่ไปขี้เป็นเพื่อนนี่ ให้ 100 คะแนน
ไอ้นี่คนดีชัวร์ ต้องเอาเป็นเพื่อนสนิท

พอโตขึ้นหน่อย เพื่อนก็เป็นเพื่อนที่อายุมากขึ้นไปด้วย
แต่ละคนก็มีความรับผิดชอบอะไรของตัวเอง
แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไปขี้เป็นเพื่อนได้ทุกคน
ถ้าเอาเรื่องไปขี้เป็นเพื่อน มาตัดสินใจก็อาจจะไม่มีเพื่อนได้

วันนี้เราเลยจะมาคุยเรื่องเกี่ยวกับการชวนเพื่อนทำกิจกรรมต่างๆ
เพราะ การจะสนิทกับใครได้ มันต้องเริ่มจากการทำกิจกรรมร่วมกันใช่มะ

เรื่องที่จะคุยวันนี้ เหมือนจะเป็น common sense
แต่เอาจริงๆแล้วพอกลับมาดูตัวเอง
เอาจริงๆก็เพิ่งจะเรียนรู้เร็วๆนี้เอง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เวลาชวนเพื่อนทำไร แล้วมันปฏิเสธ
รู้สึกว่า พอมาคิดดูดีๆแล้ว
มันมีอยู่ 3 เหตุผลที่โดนปฏิเสธนะ



ไม่มีเวลา



เรา: เฮ้ย กินข้าวเที่ยงไหมวันพุธนี้
โอ ซังมิน: ไม่ว่างเลยพี่ เทอมนี้ลง 20 หน่วย

เคยอ่านที่ไหนซักแห่งนะ ว่าคนเราทุกคนเวลาเท่ากัน

ถ้ามันให้ความสำคัญกับอะไรซักอย่างมันต้องมีเวลาให้

เราว่า แนวคิดนี้ค่อนข้างอันตรายถ้าคิดมากเกินนะ
งี้ถ้าใครไม่ว่างเจอเรา
เราก็สามารถไปตัดสินคนนั้นว่าไม่ให้ความสำคัญกับเราได้

คนไม่มีเวลา บางทีมันไม่มีเวลาจริงๆนะ
กรณีนี้ คนที่ลง 20 หน่วยกิต เป็นคนประเภทที่กินนอนอยู่ที่คณะ



ไม่มีพลังงาน



เรา: เฮ้ย มานั่งชิวกันป่าว มีพวกเราอยู่กันครบเลย
โซล กงซาน: โทดทีพี่ ใส่ชุดนอนแล้ว ไว้วันหลังละกันครับ you guys have fun

ห่าราก
ถ้าชุดนอนมึงเป็นชุดเกราะ เปลี่ยนยากซะขนาดนั้น

แต่ตอนหลังเรามาเข้าใจละ ว่า ไอ้พวกคำแก้ตัวแปลกๆทั้งหลาย
ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกว่า “ไม่มีพลังงาน”

นอกเรื่องนิดนึง
ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้

The Power of Full Engagement: Managing Energy, Not Time, Is the Key to High Performance and Personal Renewal

คร่าวๆ มันคุยเรื่องพลังงานเนี่ยแหละ
ว่าคนเรา ควรจะบริหารพลังงาน มากกว่าบริหารเวลา

อะ กลับมาเรื่องไม่มีพลังงาน
ไอ้โซล กงซาน นี่มันเป็นคนมีมารยาทนะ
มันชอบพยายามหาเหตุผลปธิเสธดีๆ ที่ไม่เสียน้ำใจ
แต่ไอ้ชุดนอนนี่เด็ดสุดละ

ความจริง สิ่งที่มันพยายามจะบอก คือ
มันเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว
ถ้ามันออกมาเจอกันแล้ว กลับไปเตรียมนอนอีกที จะใช้พลังงานเยอะ
ซึ่งวันนั้นมันหมดพลังงานออกมาแล้ว




ไม่ชอบ



เรา: เฮ้ย วันอาทิตย์นี้ 4 โมงเย็นไปเตะบอลกัน
คิม จูวอน: ไม่ว่างอะพี่ ติดประชุม

ตอนหลังสุดท้ายมันก็เฉลยออกมา ว่า ไม่ชอบเตะบอล
เพราะวันที่ไม่มีประชุม มันหมดคำแก้ตัว มันเลยบอกเราตรงๆ

เราก็บังคับให้มันไปก่อน อย่างน้อยหนึ่งรอบนะ
เพราะ ไอ้เตะบอลที่เราชวน มันก็เป็นเตะบอลแบบเด็กอนุบาลนะ
คือ มีเพื่อนล้วนๆ ทั้งเตะเป็นและไม่เป็น
แล้วก็เข้าไปรุมลูกบอล ตะโกนฮาๆ

มันก็ไปมาครั้งนึง (เตะเข้าไป 4 ลูกด้วย)
แต่หลังจากนั้น มันก็บอกเราว่า มันไม่ชอบกีฬานี้จริงๆ
เราก็เลยโอเค



จริงๆมีแบบที่ 4 แต่ในชีวิตเจอประมาณน้อยกว่า 1 % ในสังคมทั่วไป

ไม่ชอบคนชวน

เรา: เฮ้ย เย็นนี้ไปกินข้าวกัน
ต๊ก โกจิน (ชื่อสมมติ): ไม่ว่างนะ (แต่จริงๆกูไม่ชอบหน้ามึง)



แล้วไง



โตเป็นควายแล้ว
ก็เพิ่งจะมารู้ไอ้สาเหตุหลักๆที่เพื่อนมันไม่ว่างอะนะ

แต่รู้สึกได้ประโยชน์นะ
เพราะว่าทีนี้เราก็แก้ตรงจุดได้แล้ว

เมื่อเพื่อน ไม่มีเวลา ไม่มีพลังงาน ไม่ชอบกิจกรรม
มันเป็นอะไรที่เรามีอำนาจแก้ไขได้นิดหน่อย

ถ้าเพื่อนไม่มีเวลา นัดล่วงหน้าเยอะๆ นัดไปทำอะไรที่ใช้เวลาน้อยๆ
ไม่ว่าง ก็ไปเจอมันหน้าคณะ แล้วเดินคุยกลับบ้านด้วยกัน
ไปเจอมันที่แลบ ทักทาย

ถ้าเพื่อนไม่มีพลังงาน ก็ทำอะไรให้มันเสียพลังงานน้อยที่สุด
ไม่ชอบออกจากบ้านก็ไปหามัน
ไม่ชอบเจอเพื่อนกลุ่มใหญ่ก็นัดตัวๆ

ถ้าเพื่อนไม่ชอบกิจกรรม ก็หากิจกรรมที่มันชอบ
มันไม่ชอบเตะบอล ก็ชวนมันไปนั่งกินเบียร์แทน



ง้อ



ที่พูดมาทั้งนี้
จะสังเกตได้อย่างนึงว่า วิธีชวนเพื่อนให้ติด สรุปคือต้องง้อมันนี่หว่า
คนจะเป็นเพื่อนกันมันต้องสองฝ่ายปะ ไม่ใช่เราจะมาง้อฝ่ายเดียว

สำหรับคนที่มีเพื่อนดีๆเยอะแล้ว ไม่ต้องแคร์นะ
(นี่เป็น ประโยคที่พูดมาจากคนที่ไม่ชอบเรา)

แต่สำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์ดีๆ กับคนอื่นเรื่อยๆ ระยะยาว
เราคิดว่า
ตราบใดที่เพื่อนพวกนั้นเป็นคนดีโดยพื้นฐาน ก็ง้อมันไปเถอะนะ
ความสัมพันธ์เพียงผิวเผินจะแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องเริ่มจากตรงนี้แหละ
แล้วทุกวันก็จะได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ผ่านไปเปล่าๆเนอะ