November 14, 2016

รักสิ่งที่ทำอยู่จริงหรือเปล่า

รูปเด็กๆเตะบอลท่าทางสนุกสนาน เราสนุกแบบนั้นกับทุกอย่างที่เราทำได้หรือเปล่า



"พี่อัมว่าไหมครับว่าโลกนี้มันไม่แฟร์"
มีน้องคนนึงถามเราตอนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

เราก็ถามมันว่ามันหมายความว่ายังไง

มันก็บอกว่า
"สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราใช้เวลากับมันเยอะที่สุด
กลับไม่ใช่สิ่งที่เราชอบทำที่สุด
วันๆเราใช้เวลาเรียนใช้ทำวิจัย
แต่ยังไงมันก็ไม่สนุกเท่ากับการเล่นเกม
แต่ถึงเกมจะสนุกแค่ไหนก็ตาม
เราก็ไม่สามารถจะหากินได้ด้วยการเล่นเกม
ยกเว้นจะเก่งอันดับต้นๆของโลก"

มองดูตัวเอง ซึ่งเลือกที่จะเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ ป.ตรี ยัน ป.เอก
เวลาที่ใช้กับการเรียนและเขียนโปรแกรมรวมกัน 10 กว่าปีแล้ว
เราใช้เวลาในชีวิตกับสิ่งเหล่านี้เยอะ



แล้วสรุปเรารักการเขียนโปรแกรมไหม

คำตอบคือ เราไม่ได้รักการเขียนโปรแกรมนี่หว่า
และเราอาจจะไม่ได้รักวิทย์คอม ขนาดนั้นด้วย

รู้สึกว่าการเขียนโปรแกรมเพราะมันก็สนุกดี ทฤษฏีมันก็น่าสนใจดี
แต่เราไม่ได้ดื่มด่ำกับวิชา กระหายความรู้ เรียนเรื่องใหม่ๆแล้วฟินขนาดนั้น
มาคิดดู สาเหตุที่เรียนวิทย์คอมตั้งแต่แรก เพราะ ชอบเล่นเกม เก่งเลขตอนประถม และขี้เกียจท่องจำ

เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราไม่ได้รักการเขียนโปรแกรมขนาดนั้น
เราก็มาดูตัวเองว่า จริงๆแล้วรักอะไรกันแน่

ก็พบว่ามีกิจกรรมอีก 2 อย่างที่น่าจะเข้าข่าย นั่นก็คือ การเตะบอล และการเล่นดนตรี
ความเห็นส่วนตัวคิดว่า การเตะบอลหรือเล่นดนตรี สนุกกว่าเขียนโปรแกรมนะ



แล้วสรุปเรารักการเตะบอลใช่ไหม

เราเล่นบอลจริงจังเป็นอาชีพหรือเปล่า
เราเล่นทุกวันที่มีโอกาสไหม
เราไปเล่นกับคน randomๆ ได้เต็มที่ไหม

ก็เปล่านะ
หรือจริงๆเราไม่ได้รักฟุตบอลขนาดนั้น



แล้วสรุปเรารักดนตรีใช่ไหม

เพราะเราก็เล่นมาตั้งแต่แบบ ป.1 จนตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่

แต่ถามว่าฝีมือพัฒนาไหม
อยู่บ้านหยิบเครื่องดนตรีมาเล่นเวลาว่างตลอดไหม

ก็เปล่าอีกแหละ
รู้สึกฝีมืออยู่กับที่ ไม่ได้ตั้งใจซ้อมอะไรจริงๆจังๆให้เก่งขึ้นเลย
เพลง classซง classic ที่เคยพริ้วๆ ก็ลืมไปหมด
ฝีมือเหมือนคงที่มาประมาณ 10 ปีแล้วมั้ง



สรุปว่าเราไม่ได้รักสิ่งที่ทำอยู่เลยใช่ไหมเนี่ย

มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น

จริงๆเรารักสิ่งที่ทำอยู่นั่นแหละ
แค่มันไม่ใช่การเขียนโปรแกรม ไม่ใช่เตะบอล แล้วก็ไม่ใช่ดนตรี
แต่เรารักการใช้เวลากับเพื่อน(สนิท)ในการทำกิจกรรมเหล่านี้ต่างหาก



มียกตัวอย่างที่อยากเล่าให้ฟัง เรื่องเตะบอลเนี่ยแหละ

ตั้งแต่เรามาอเมริกา
เพื่อนเตะบอลก็มีประปราย
โผล่มาบ้าง หายไปบ้าง ย้ายที่อยู่บ้าง อะไรงี้

จนถึงเมื่อปีที่แล้วเราแทบจะไม่มีเพื่อนเตะบอลเลย
มีคนไทยเตะอยู่ไม่กี่คนแล้วก็ว่างไม่ตรงกัน

เราเลยไปลงแข่งแบบ league สมัครเล่น ทั้งภายในและนอกมหาลัย
ไปซ้อมจริงจังเลยนะ เตะบอลกับกำแพงวันละ 500 ลูกเป็นเวลาเดือนนึงอะไรงี้
ขนาดกลับไทยเพื่อนยังทักเลยว่า ขาใหญ่ขึ้น
ได้แข่ง 10 กว่านัดกับคนเก่งๆเยอะๆ

จากนั้นพอถึงปีใหม่ กลับไทย
เราก็นัดเตะบอลกับเพื่อนโรงเรียนเก่า
ตอนไปเล่นก็คิดว่าคงได้ความรู้สึกที่เดิมๆ
คือ "ฟุตบอลมันสนุก" เหมือนที่เตะผ่านๆมา

แต่มันไม่ใช่ ความสนุกตอนได้เตะบอลกับเพื่อนมันต่างกันฟ้าดิน
เทียบกับการเล่นกับไอ้ฝรั่ง random ที่เจอตามสนามบอล




เราคิดว่าเรารักการเตะบอล
แต่จริงๆแล้ว เรารักการเตะบอลกับเพื่อนสนิทๆมากกว่า

หลังจากไม่ได้เตะบอลกับเพื่อนนานมาก
กลับคราวนี้ได้กลับไปเตะบอลกับเพื่อน ความสนุกมันต่างกันมาก
การที่เราสามารถตะโกนเรียกบอลเพื่อนโดยไม่เขิน
หรือเล่นอะไรแผลงๆ บ้าๆ วิ่งตลกๆ โดยไม่กลัวเพื่อนด่า ฯลฯ
มันทำให้ฟุตบอลสนุกขึ้นประมาณ 1 ล้านเท่า

จนถึงปีนี้ เพื่อนคนไทยก็รู้จักกันมากขึ้นและสนิทขึ้นเรื่อยๆ
จนพอจะแบ่งทีมเล่นกันเองได้เหมือนตอนเด็กๆ
ก็เจอว่า การเล่นกันเอง แม้กระทั่งจะเล่นกับคนเล่นไม่เป็น
แม้กระทั่งจะเล่นเป็นโกล (ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พยายามหนีที่สุด)
มันสนุกกว่า การได้เล่นกับคนเก่งๆแล้วชนะทีมอื่นตอนแข่ง league เยอะเลย

พอรู้ตัวอย่างนี้ มันค่อนข้างจะชัดขึ้นเรื่อยๆในเรื่องอื่นๆด้วย



เราคิดว่าเรารักดนตรี
แต่จริงๆแล้ว เรารักการซ้อมดนตรีกับเพื่อนสนิทๆ

เพราะไอ้จังหวะซ้อมดนตรีด้วยกันเนี่ยแหละ
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นผิด เสียงหลง ร้องผิดท่อน ไปหาอะไรกินระหว่างซ้อม
การเดินทางแบกเครื่องดนตรีไปสถานที่แสดง
หรือการอุ้มรุ่นพี่ที่เมากลับคอนโดด้วยกัน ฯลฯ
มันเป็นความทรงจำที่มันค่อนข้างจะติดสมองไปนาน ในทางที่ดีด้วย



เราคิดว่าเรารักการเขียนโปรแกรมหรือไม่ก็สาขาวิทย์คอม
แต่จริงๆแล้ว เรารักการได้ใช้เวลากับเพื่อนสนิทๆ ระหว่างเรียน ระหว่างทำงานต่างหาก

ทุกๆก้าวในชีวิตที่ผ่านมา
เดียร์ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิต ก็อยู่ด้วยกันตลอดมา
และก็ยังคงเจอเพื่อนสนิทดีๆใหม่ๆ ทุกที่ที่ไป



ที่พูดมาทั้งหมดนี้ นำมาถึงข้อสรุปการค้นพบที่สำคัญมากๆในชีวิต คือ

ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
เป็นตัวกำหนดความสุขของคนหลายๆคน

แล้วในทางกลับกัน เราได้เห็นคนที่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ดี
แล้วคนเหล่านั้นก็รู้สึกไปว่า สิ่งที่ทำอยู่ไม่ว่าจะงานหรือเรียน มันแย่

แล้วข้อคิดนี้เป็นข้อคิดที่ช่วยให้เราตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างในชีวิต
ที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

หลายๆคนอาจจะบุคลิกไม่เหมือนเรา
ความสุขที่ได้ อาจจะมาจากแหล่งอื่น

มีคนที่เรารู้จักเค้าก็รักสิ่งที่เค้าทำจริงๆ
ตั้งแต่บอร์ดเกม ยันเขียนโปรแกรม ยันเล่นดนตรี ยันเล่นเกมระดับอาชีพ
เราเห็นว่าพวกนั้น ดูรักสิ่งที่เค้าทำจริงๆ
พวกนี้โคตรเจ๋ง แล้วเราก็นับถือพวกนั้นมาก
เพราะเราไม่น่าจะ passionate กับอะไรบางอย่างได้มากขนาดนั้น

แต่สำหรับคนที่บุคลิกคล้ายๆเรา
ก็มีอะไรที่น่าจะนำไปใช้ได้อย่างนึง
ซึ่งทำให้เราแฮปปี้มาได้ตลอด คือ

ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรก็ตาม ไปเรียน ไปทำงาน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รักสิ่งนั้น
แต่ถ้าพยายามเน้นสร้างเพื่อนแท้เพิ่มขึ้น
ก็จะทำให้มีความสุขกับสิ่งนั้นมากขึ้นโดยอัตโนมัติได้

อ่านเสร็จแล้ว ก็ไปหาเพื่อนซี้กันเนอะ