July 22, 2013

หนังสือที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น

สมัยเด็กๆเราเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือนะ
จะมีอะไรสนุกไปกว่าการเล่นเกม กับเตะบอลละ
มุมมองโลกเรา โคตรแคบ คิดว่าโลกหมุนรอบเราทุกอย่าง เอาแต่ใจ ฯลฯ
เพิ่งมาเปลี่ยนได้ เพราะว่าคบเดียร์เนี่ยแหละ (ขออนุญาตอวยภรรยา :D)

คิดว่าหลังจากเราได้ปรับปรุงตัวมาประมาณ 1 ทศวรรษ
เราเริ่มรู้จักคุณค่าของการฟังความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น

เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว เราได้ทำความรู้จักกับรุ่นน้องธรรมศาสตร์คนนึง ชื่อเล่นว่า แอมป์ (ยังไม่มีชื่อญี่ปุ่นให้)
แอมป์เป็นคนที่ชอบแบ่งปันอะไรที่มีประโยชน์กับชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องชอบรีวิวหนังสือ (ว่างๆเข้าไปอ่าน blog ของแอมป์กันได้ มีเรื่องดีๆเยอะ โดยเฉพาะเรื่องทีมและการบริหารเวลา)
เรารู้สึกว่าเท่ เลยพยายามเลียนแบบ พยายามหาเรื่องเป็นประโยชน์มาแบ่งคนอื่นบ้าง

นอกจากการรับฟังความคิดคนอื่น และการพยายามหาเรื่องเป็นประโยชน์มาแบ่งคนอื่น
เราเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้นด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนึงจบไป ซึ่งเราคิดว่าเป็นหนังสือที่ถือได้ว่า เปลี่ยนชีวิตเลยทีเดียว

หนังสือเล่มดังกล่าวคือเล่มนี้นี่เองงงงง

nonviolent communication

หน้าตาเป็นงี้

516Y10hCnML

หาซื้อได้ที่นี่ (เหมือนจะมีเวอร์ชันไทยด้วย)

เนื้อหาคร่าวๆดังเน้

เคยป่าว เวลาแบบไม่ชอบหน้าใครซักคนด้วยสาเหตุอะไรซักอย่าง แต่ตอนหลังมารู้ว่ามันเป็นเด็กกตัญญู ก็เลยกลายเป็นว่าชอบมันเลย เพราะตัวเองเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความกตัญญูมาก
หรือว่าแบบ เข้าชมรมดนตรี ทั้งๆที่เจอคนไม่รู้จัก แต่คุยกันถูกคอ เพราะชอบดนตรีเหมือนกัน
หรือว่าแบบ หมั่นไส้ลีซอวะ แต่พอรู้ว่ามันทุ่มเท ชอบช่วยเหลือคนก็ให้อภัย เพราะชอบคนดี
หรือว่าแบบ เกลียดขี้หน้าไอ้นี่ ปรากฏคุยไปคุยมา ชอบแมนยูเหมือนกัน หายเกลียดเลย
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ส่วนตัวเป็นบ่อยมาก คือ ถ้าเพื่อนทำอะไรไม่ถูกใจพอให้อภัยได้ แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักกลับไม่ให้อภัย

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น คือ คนเราจะเปิดใจมากขึ้นเมื่อมีความรู้สึกหรือประสบการณ์อะไรที่ตรงกัน
จะว่ากันไป มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ที่คนเราทุกคนจะมีประสบการณ์อะไรที่ตรงกันให้เชื่อมความรู้สึกกันได้
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ทุกคนที่เกิดมาเป็นคน ต่างก็มีความรู้สึกดีใจ เสียใจ โกรธ ฯลฯ
ถ้าเราคุยกันโดยที่แชร์ความรู้สึกกัน จะทำให้เราพบว่า เรามนุษย์ทุกคนมีอะไรร่วมกัน และจะทำให้การสื่อสารเป็นไปในทางบวก

ทฤษฏีของผู้เขียนก็เลยเป็นประมาณว่า
ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกว่า เรา "เก็ต" ความรู้สึกเค้า เค้าจะเปิดใจกับเรามากขึ้น คุยกันรู้เรื่องขึ้น และความรุนแรงน้อยลง
เก็ต ในที่นี้ หมายถึง เราต้องฟังทั้งตัวและหัวใจ
วิธีวัดง่ายๆว่า เก็ตผู้ฟัง หรือไม่เก็ต คือ ลองอธิบายความรู้สึกของผู้ฟังด้วยคำพูดเราเอง ถ้าพูดได้ทั้งหมดอย่างถูกต้องแปลว่า เก็ต
หลังจากเราเก็ตผู้ฟัง เค้าจะเปิดใจรับการสื่อสารเรา
จากนั้นเราก็สื่อสารด้วยภาษาที่ฟังลื่นหู

หนังสือเล่มนี้ สอนเป็นขั้นๆเลยว่า
1. ทำยังไงถึงจะฟังให้ เก็ต คนอื่นได้
2. ทำยังไงถึงจะสื่อสารความรู้สึกและความต้องการเราได้อย่างลื่นหู

ย้ำว่า สอนให้เป็นขั้นๆเลย
ในความเห็นส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมากว่าที่คิดมาก
แต่เราไม่เคยคิดได้เองมาก่อนเลย

ตัวอย่าง ประโยชน์ของการอ่านหนังสือเล่มนี้ (ถ้าได้ใช้จริงๆ) คือ
รู้จักฟังปัญหาของเพื่อนมากขึ้น
รู้จักวิธีลดความโกรธที่ถูกต้อง
รู้จักวิธีการพูดไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนว่าอยู่
รู้จักการชมคนอื่นจากใจจริง ฯลฯ

ทำให้
เข้าใจเพื่อนมากขึ้น
ไม่หงุดหงิดเวลาใครทำอะไรไม่ถูกใจ
ไม่โกรธเวลาโดนรถปาด
ไม่ตัดสินคน
คุยกับลูกรู้เรื่องขึ้น
และสุดท้ายก็มีความสุขมากขึ้น
(ในหนังสือยกตัวอย่างว่ามีคนรอดจากการโดนฆ่าเพราะสื่อสารกับผู้ทำร้ายด้วยซ้ำ)

คิดว่า เกือบทุกคนในโลกจะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ไม่ว่าจะเป็น
คนพูดดีอยู่แล้วแต่อยากสื่อสารกับคนอื่นได้ดีกว่าเดิม
คนปากหมา
คนที่มีความรู้เยอะและชอบสอนคนอื่น
คนชอบดราม่า
คนชอบแก้ logic คนอื่น
คนชอบปลอบใจคนอื่น
คนชอบให้คำแนะนำคนอื่น
คนชอบเล่านิทาน
สรุปก็เกือบทุกคนในโลกนะ

เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนอ่านนะ
แล้วที่สำคัญอย่าอ่านผ่านๆแบบเอาสนุก
อยากให้อ่านทุกเม็ด คิดตามทุกเม็ด เพราะ จะได้ใช้จริงๆในชีวิตประจำวัน ทุกวัน (ยกเว้น วันๆไม่สื่อสารกับใคร)

มาช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกนิดนึงกันเหอะ

ว่าแล้ว เราก็จัดซื้อให้คุณแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

July 19, 2013

โปรแกรมเมอร์ต้องรู้จักหุบปาก

เพื่อนซี้เราคนนึง ชื่อ สมมติว่าซากาโมโต้ ชื่อจริงว่า โชคชัย ชื่อเล่นชื่อ จั๊วะ ที่บ้านเรียกมันว่า ไบ๋
มันเคยพูดไว้ว่า โปรแกรมเมอร์ต้องมีซิกแพค

สรุปคร่าวๆคือ ภาพลักษณ์ที่คนมองโปรแกรมเมอร์เห็น เป็นไอ้เชี่ยอ้วนกับไอ้เชี่ยแว่น
ไอ้จั๊วะมันอยากให้ภาพลักษณ์โปรแกรมเมอร์มันเท่กว่านี้
เลยรณรงค์ให้โปรแกรมเมอร์มีซิกแพคกันอะไรงั้น
ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ (http://www.youtube.com/watch?v=XfTu6fBCsqI)

จากการใช้ชีวิตแต่งงานมาหลายปีและเจอเพื่อนโปรแกรมเมอร์ในหมู่คนทั่วไปอีกหลายคน ทำให้เราได้ข้อคิดเพิ่มมาอีกอันนึง คือ

โปรแกรมเมอร์ต้องรู้จักหุบปาก

คือ วันๆโปรแกรมเมอร์คุยกับคอมพิวเตอร์ซะส่วนใหญ่
การพูดคุยที่ว่าคือการเขียนโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาที่ต้องการ
เครื่องคอมอะ มันโง่ มันแค่คิดอะไรซ้ำๆได้เร็วกว่าเราหลายล้านเท่า แต่มันไม่มีความคิดสร้างสรรค์
อีกอย่างคอมพิวเตอร์อาจจะทำอะไรสำคัญ ถ้าเราสั่งให้มันเพิ่มโอโซนให้โลก แต่มันเข้าใจผิดว่าให้ปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ ก็คงไม่ค่อยสวยงามเท่าไร
การคุยกับเครื่องคอมเลยจะต้องเป็นอะไรที่เจาะจงมาก ห้ามคลุมเครือ
โปรแกรมเมอร์จึงเป็นคนที่คุ้นเคยกับอะไรที่มันเจาะจง ไม่คลุมเครือ ไม่มีช่องโหว่

เมื่อโปรแกรมเมอร์เอานิสัยนี้มาใช้กับคน ก็หงายเงิบสิ

คนทั่วไปเค้าพูดกันให้คนฟัง
คนฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์ จึงควรจะตีความหรืออ่านอารมณ์ได้ดีกว่า
แต่โปรแกรมเมอร์กลับคิดว่า คนทั่วไปเค้าพูดให้คอมพิวเตอร์ฟังเหมือนกัน ต้องคอยแก้ เพราะเดี๋ยวโปรแกรมจะรันไม่ได้

ยกตัวอย่างบทสนทนาระหว่าง ตัวละครสมมติ มาริโอ้ เมาเร่อ กับ เคน ธีรเดช (เป็นชื่อไทยสมมติที่คิดได้เมื่อกี๊)
มาริโอ้กับเคนเป็นเพื่อนกัน แต่มาริโอ้จบนิเทศ เคนจบวิทย์คอม

ตัวอย่าง 1 มาริโอ้ปล่อยมุข
มาริโอ้: 1+1 ได้ 1 เพราะ ทราย 1 กองรวมกับทรายอีก 1 กอง ได้ทราย 1 กองอยู่ดี
เคน: นั่นก็เพราะ + ในที่นี้ไม่ได้ใช้ + เชิงคณิตศาสตร์ แต่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของการรวมกองทรายเข้าด้วยกัน

ตัวอย่าง 2 มาริโอ้ต้องการระบายอารมณ์
มาริโอ้: โห รถคันนั้นปาดโคตรทุเรศเลย เซ็งเป็ด
เคน: รู้สึกมันหลบรถอีกคันนึงมา ไม่งั้นมันก็ชน

ตัวอย่าง 3 มาริโอ้แบ่งปันข้อคิดความรู้
มาริโอ้: ในการตั้งบริษัท เราต้องเริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยๆขยาย
เคน: หลักนี้มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2500 แล้วโดยคนชื่อ โธมัส เค้าเรียกกฏนี้ว่า กฏแห่งการ... (อะไรก็ว่าไป)

ถ้าเรามีเพื่อนแบบเคน เราแอบกระโดดถีบมันในใจ

ถ้าเคนมันคิดซักนิดนึงมันจะรู้ว่า
มาริโอ้ไม่ได้คุยกับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ไม่ต้องไปแก้มัน
มาริโอ้คุยเพราะมีจุดประสงค์ทางสังคมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ต้องการให้คนหัวเราะ ต้องการให้คนรับฟัง หรือต้องการแบ่งอะไรดีๆให้คนอื่น

เคนเป็นคน
ควรที่จะรู้จักหุบปาก และลองคิดดูดีๆว่าที่มาริโอ้เล่านั่นเนื้อหาจริงๆที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่พูดออกมามันคืออะไร

สำหรับคนที่คบโปรแกรมเมอร์ด้วยกัน ดีใจด้วย
โปรแกรมเมอร์ด้วยกันคงเข้าใจกันบ้างไม่มากก็น้อย
แต่โปรแกรมเมอร์ก็ยังเป็นคนอยู่ ระวังให้ดีละ

ส่วนเรา ยอมรับว่าเราทำอย่างนี้กับเดียร์มาเยอะเหมือนกัน
ทุกวันนี้เราก็ฝึกที่จะหุบปากและฟัง และพยายามพูดให้เหมือนคนปกติมากขึ้น

สำหรับคนที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยนะแคร้บ

June 05, 2013

จดหมายถึงตัวเองในอนาคต

คิดว่ามีเพื่อนไม่กี่คนที่ติดตามความเป็นมาของเราเมื่อประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา

สรุปโดยคร่าวๆก็คือ เราลาออกจาก startup แห่งนึง มาทำงานรับจ๊อบแทน
ศัพท์หรูเรียกว่า freelance

หนึ่งในลูกค้าของเราคือ เจ้านายเก่าเรา ชื่อว่า เดเกือบ (เดวิด!)
เดวิดเคยทำงานบริษัทเดียวกับเรา แต่ก็ลาออกจากบริษัทใหญ่มาตั้ง startup ของตัวเอง
สาเหตุที่ลาออกก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน คือ ทำงานบริษัทเดิมไม่ได้ทำให้รู้สึกชีวิตมีค่า

เดวิดลาออกไปตั้งบริษัทด้านสิ่งแวดล้อมกับภรรยาที่ชื่อ เจ็น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัทนี้ที่ผ่านมามีขึ้นมีลง แต่สุดท้ายก็ได้ลูกค้ากลุ่มแรกและนักลงทุนจำนวนหนึ่งมาจนได้ ภายในเวลาน้อยกว่า 1 ปี
ถือว่าเจ๋งมากๆทีเดียว

เนื่องจากเรากำลังจะจบ contract แล้วย้ายออกจากเมืองแล้ว
เมื่อเย็นวันนี้สดๆร้อนๆ เดวิดกับเจ็นเลยให้โอกาสเราคุยกันเป็นการส่วนตัว
เหมือนแบบเวลากำลังจะลาออกจากที่นึง คนก็มักจะมาคุยร่ำลายังไงอย่างนั้น

หลักๆเป็นการคุยกันเงียบๆในห้อง จากนั้นไปกินเบียร์ด้วยกัน จากนั้นไปที่บ้านของเดวิดกับเจน
เราได้มีโอกาสเล่นกีฬากับลูก 4 คนของสองคนนี้
เดินชมสวนที่เดวิดตั้งใจจะปลูก ดอกไม้และพืช ที่เราจำชื่อไม่ได้จำนวนมหาศาล
บวกกับการเล่นกับหมาอีก 2 ตัว และแมวอีก 2 ตัว
ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะเล่าให้ฟังถึงความเป็นกันเองของสองคนนี้

เราไม่ใช่คนประทับใจหรือชอบอะไรง่ายๆ
ยกตัวอย่าง เราไม่ได้ประทับใจคนสร้าง linux กับ git (สองเทคโนโลยีที่คนใช้กันทั่วโลก) เท่าไร
เพราะว่าคนสร้างมีนิสัยปากเสียและมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางหนึ่งค่อนข้างรุนแรง

แต่จากการคุยกับเดวิดและเจ็นวันนี้ทำให้เราค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว

วันนี้หลังจากคุยเรื่องงานกับเดวิด เราก็มีโอกาสถามชีวิตส่วนตัวของเค้า

โดยคร่าวๆเดวิดเป็นคนที่
เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหาร
เคยทำงาน dell และ microsoft
เคยโดน lay off
เคยเป็นทหารเรือ
เคยเป็นเจ้าโต๊ะ blackjack
เคยเล่น poker ระดับมืออาชีพ
เคยโดนภรรยาเอาปืนจ่อ
เคยภรรยาเสีย และแต่งงานใหม่
เคยมีลูกเพิ่มอีก 2 คน (รวมเป็น 3) หลังจากเพิ่งตกงานหมาดๆ
เคยต้องไปกินข้าวตามสถานที่ที่ขอทานไปกินกัน
เคยต้องขายบ้าน ขายรถ ขายทุกสิ่ง เพื่อให้ startup อยู่รอด

มีช่วงชีวิตของเดวิดบางช่วงที่ตกต่ำมาก

เดวิดเล่าให้ฟังว่า มีบางวันที่อารมรณ์ประมาณว่า มือนึงถือกุญแจรถ ส่วนอีกมือนึงถือปืน แล้วลังเลว่าจะขับรถไปทำงานหรือฆ่าตัวตายดีก็มี
แต่เดวิดก็ผ่านวันเหล่านั้นมาได้

ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันเหล่านั้น ที่ชีวิตตกต่ำ เป็นช่วงที่เดวิดเป็นเจ้านายเราอยู่
แล้วเราแทบจะไม่รู้เลยว่าชีวิตเดวิดเศร้าขนาดนั้น ไม่มีการเอาอารมณ์มาลงกับลูกน้องทั้งสิ้น

ความประทับใจไม่ได้จบลงตรงนั้น ระหว่างที่เรานั่งกินเบียร์กับสองสามีภรรยา เราได้ถามเรื่องการบริหารบริษัทเยอะเลย

หลักๆเราถามเดวิดกับเจ็นว่ามีหลักการบริหารบริษัทยังไง
ที่ถามอย่างนี้เป็นเพราะเรารู้สึกว่าบริษัทนี้ทุกคนเป็นคล้ายๆคนในครอบครัว

เราเริ่มต้นทำงานกับเดวิดด้วยสถานะคนรับจ๊อบแค่สามเดือน เพราะเรากำลังจะกลับไปเรียนต่อ
แต่ไปๆมาๆมีวันนึงเดวิดกับเจ็นโทรมาถามว่า สมมติว่าบริษัทให้ได้ทุกอย่าง จะมีอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนใจทำงานเต็มเวลากับบริษัทไหม
ที่เล่าไม่ใช่เพราะอวดอะไรนะ แต่เราเพิ่งเก็ตวันนี้เองว่า เดวิดและเจ็นมีความต้องการจะให้พนักงานทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยาก

เรารู้สึกดีกับบริษัทนี้ถึงขนาดว่า
ไม่ว่าเราไปที่ไหนก็ตาม ถ้าเราสามารถช่วยบริษัทนี้ให้เจริญได้ เราก็จะช่วยเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน part time หรือการช่วยหาพนักงาน
เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราโดนเวทย์มนต์อะไรเข้าไป เราถึงได้ชอบบริษัทนี้ขนาดนี้ได้
จนถึงวันนี้เราก็ได้คำตอบ

คำตอบที่เราได้จากเดวิดและเจ็น อาจจะฟังดูไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ แต่เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่เราจะบริหารทีมถ้าเรามีบริษัทตัวเองในอนาคต

สิ่งหลักๆที่เดวิดกับเจ็นสอนเราหลักๆก็คือ

พนักงานทุกคนมีเป้าหมายของตัวเอง บริษัทควรจะช่วยทุกอย่างให้พนักงานบรรลุเป้าหมายนั้น ส่วนธุรกิจหลักๆของบริษัทให้คิดซะว่าเป็นเรื่องรอง

ยกตัวอย่าง(จากเรื่องจริง) มีพนักงานคนนึงมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง
ทางบริษัททำทุกอย่าง เพื่อให้พนักงานคนนี้รู้ว่า การออกอัลบั้ม เป็นเรื่องที่น่ายินดีของบริษัทให้ทำเต็มที่ ส่วนงานบริษัทเป็นงานรอง
ถ้าอยากลาเท่าไรก็ลาไปถ้ามันจะทำให้ได้บรรลุเป้าหมายส่วนตัวได้
ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม คือ เนื่องจากพนักงานคนนี้ได้ทำสิ่งที่ต้องการ ทำให้รักบริษัทมากขึ้น และทำงานได้ดีขึ้น

เราถามสองคนนั้นว่า แล้วถ้าบริษัทเกิดมี 500 คน มันต้องมีคนที่อยู่ๆก็ลาโดยไม่ชอบธรรมไม่ใช่เหรอ
คำตอบก็คือ มันก็มีกรอบ ก็คือการทำงานควรทำตามเป้าหมาย (แต่ไม่ควรนับเวลาทำงาน)
แค่พนักงานทำงานได้ตามเป้า ก็ไม่ควรเรียกร้องอะไรจากพนักงานอีก
การกำหนดเวลาทำงานเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า ถ้าพนักงานทำได้ตามเป้าหมาย
การกำหนดจำนวนวันลาเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า ถ้าพนักงานทำได้ตามเป้าหมาย

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การให้พนักงานได้มีความคิดเป็นของตัวเอง
เวลาทำงาน ให้บอกเป้าหมายพนักงานว่าต้องการอะไร แต่ห้ามบอกว่าต้องทำยังไง
เช่น อยากให้พนักงานสร้าง course ขึ้นมาสำหรับสอนลูกค้า แค่บอกว่า course มีเป้าหมายคือให้ลูกค้ารักสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แต่ไม่ได้บอกว่า course ต้องประกอบไปด้วย บทนี้ บทนั้น

การทำแบบนี้ ทำให้พนักงานได้ทำอะไรที่เป็นความคิดของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมทำอะไรที่สำคัญ
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำออกมาจะผิดแล้วผิดอีก แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่พนักงานคิดเองทำเองแล้วไม่ได้ถูกสั่งให้ทำ
ในระยะยาว ผลงานที่ไม่เพอร์เฟคของพนักงานเหล่านี้ ทำให้พนักงานรักบริษัทมากกว่าผลงานที่เพอร์เฟคแต่ถูกออกแบบมาโดยเจ้านาย
และถ้าจะให้เว้ากันซื่อๆ เราคิดว่า บริษัทที่เต็มไปด้วยพนักงานที่โอเคแต่รักบริษัท ดีกว่า บริษัทที่เต็มไปด้วยพนักงานที่ฉลาดมากๆแต่พร้อมลาออก

น่าเสียดายที่เราจำรายละเอียดหลายๆอย่างไม่หมด เพราะมีการพูดคุยกันมากบวกกับการดื่มเบียร์ด้วย
แต่เรื่องหลักๆเราคิดว่ามีเท่านี้แหละ

สรุปแล้วการบริหารงานมีหลายวิธีและวิธีที่ใช้ได้และทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองได้หลายวิธี

แต่โดยบุคลิกของเราที่ให้ความสำคัญกับชีวิตคนและความสัมพันธ์ มากกว่าความรวยและความสำเร็จในชีวิต
เราคิดว่าในอนาคตเราอยากจะบริหารงานแบบนี้นะ

ขอมอบโพสนี้แก่ อัม ในอนาคต
ถ้าวันนึงเกิดมีบริษัทตัวเองขึ้นมา
อย่าลืมให้ความสำคัญกับความฝันของทุกคนในทีมมากกว่าความสำเร็จของบริษัทนะ

April 23, 2013

ถึงวัยแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในปีที่ผ่านมาอย่างแรกเป็นเรื่องน่ายินดี คือ มีเพื่อนแต่งงาน
เรามักจะได้รับ invite ทาง facebook มาเรื่อยๆ เดี๋ยวคนนี้ก็แต่งงาน เดี๋ยวคนนั้นก็แต่งงาน
การที่คนสองคน แสดงความรักให้โลกเห็นด้วยการรวมตัวเป็นหนึ่งครอบครัว เป็นเรื่องที่น่าฉลอง

แต่อีกด้านนึงที่ต้องยอมรับสำหรับคนที่อายุถึงวัย 30 แล้วก็คือ นี่คือวัยที่คนรุ่นก่อนเราเริ่มล้มป่วย
นอกจากเรื่องงานแต่งงานเพื่อนๆที่เห็นบ่อยๆ
เราก็เห็นเรื่องการจากไปของญาติของเพื่อน หรือบางคนมีพ่อแม่เข้าโรงพยาบาลเป็นโรค ฯลฯ

ตัวเราเองก็ไม่เว้น คุณแม่เพิ่งผ่าตัดหัวใจรอดตายไปเมื่อปีที่แล้ว คุณลุงเสียไปไม่นานมานี้ และล่าสุดก็คือข่าวว่าคุณตาท่านนึงก็เสียไปแล้วอีกเหมือนกัน

เรามีบ้านอยู่ราชบุรี เรียกกันว่าบ้านสวน
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว บ้านนี้เต็มไปด้วยพี่ป้าน้าอา ตา ยาย เต็มไปหมด ถือเป็นครอบครัวขยายที่คนไทยสมัยก่อนมีกัน
ตอนเด็กๆบางปิดเทอม เราจะไปนอนค้าง ที่ไร่ของก๋ง เพื่อกินนอนอยู่กับธรรมชาติ
ก๋งมีลูก 4 คนซึ่งเราจะเล่นด้วยกับทุกคน

ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ไปเยี่ยมบ้านที่ราชบุรีน้อยลงๆ
เป็นที่น่าเศร้า เหมือนกับว่าทุกครั้งที่ไปเยี่ยม คุณยาย หรือคุณตาจะน้อยลง 1 คนๆ
แล้ววันนี้ก็มาถึง ก๋งไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว

เป็นความจริงของชีวิต ที่คอยมาตอกย้ำเราอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะช่วงนี้
เรื่องเครียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ลืมคำนวณหรืองานเยอะหรือคนงี่เง่า ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กเมื่อเรามองวัฏจักรชีวิตโดยรวม

ถ้าเราต้องเลือกสอนอะไรใครซักอย่างได้เพียงอย่างเดียวในชีวิต เราจะสอนว่า
"การดำเนินชีวิตที่ดีควรจะมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและคนที่เรารัก"

เพื่อนๆ ใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มนะ

January 16, 2013

คุณครูที่รัก

จำได้ว่าเมื่อตอนอนุบาล คุณครูถามเราว่าอยากเป็นอะไร
คำตอบที่ออกมาจากปากโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นคือ อยากเป็นหมอ
สาเหตุก็ง่ายๆเลย พ่อแม่เป็นหมอ เราก็เลยอยากเป็นหมอ

แต่เมื่อชีวิตย่างเข้าสู่การเป็นวัยรุ่น เกิดต้องการความเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
อยากเรียนนิติ อยากเรียนนิเทศน์ อยากเรียนวิศวะ
สุดท้ายก็มาจบลงที่วิทย์คอม เพราะ ชอบเล่นเกม
(เหตุผลที่ไม่เข้าวิศวะ เพราะว่า คณะวิศวะมีผู้หญิงน้อยกว่า)

ก็เรียนๆๆๆๆ จนจบป.ตรี จบป.โท ทำงานไปเรื่อยๆ
แล้วก็มาค้นพบตัวเองว่า อยากทำอะไรให้สังคมบ้าง
ก็เลยเกิดความคิดเป็นขั้นเป็นตอน ดังต่อไปนี้

ความคิดขั้นที่ 1 คือ ทำงานบริษัทดีๆ ที่มันเขียนโปรแกรมที่มีประโยชน์กับสังคม อย่างเช่น เฟสบุค
(คือ ถ้าใช้ในทางที่ถูกเนี่ย เฟสบุค ทำให้เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน มาเจอกัน
และทำให้ครอบครัวที่อยู่คนละฟากของโลกได้เห็นอัพเดทของกันและกัน)
ก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าได้เป็นส่วนเล็กๆ ทำงานให้กับบริษัทที่ช่วยเหลือมนุษย์

ความคิดขั้นที่ 2 คือ ตั้งบริษัทดีๆ ที่มันเขียนโปรแกรมที่มีประโยชน์ให้กับสังคม อย่างเช่น เฟสบุค
การที่เราเป็นคนก่อตั้งเนี่ย เราไม่ใช่แค่จิ๊กซอว์เล็กๆในการทำประโยชน์ให้สังคมแล้ว
เราได้มีส่วนร่วมในการทำอะไรดีๆอย่างเต็มที่
และยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนที่อยากช่วยสังคมมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท
เหมือนกับว่า เราเปิดโอกาสให้คนที่มีความคิดขั้นที่ 1 ยังไงอย่างงั้น

ความคิดขั้นที่ 3 คือ การสร้างคนเพื่อจะได้ออกไปตั้งบริษัทดีๆ
การที่เราทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมันก็ดี
แต่ลองคิดดู ถ้าเราสอนลูกศิษย์สำเร็จไปตั้งบริษัทได้
มันเหมือนกับว่าเราได้ทำอะไรให้กับสังคมคูณ 2 เลยทีเดียว

ทีนี้การเป็นครูเนี่ย บางคนจะคิดว่า ขอแค่เป็นคนที่มีความรู้และอธิบายเก่งก็เป็นครูได้
แต่จากประสบการณ์ การได้พบกับครูดีๆหลายคนทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
คุณครูที่ดีไม่ว่าแขนงวิชาไหนก็ตาม ดูแลลูกศิษย์เหมือนเป็นคนในครอบครัว
โอเค อาจจะไม่เวอร์ขนาดส่งเสียให้ค่าขนม
แต่คุณครูเป็นคนที่คอยดูการเจริญเติบโตของลูกศิษย์ให้ไปในทางที่ถูกต้อง
คุณครูฟัง ให้เวลา และให้คำปรึกษา กับลูกศิษย์
คุณครูคอยตักเตือนลูกศิษย์ถ้าเริ่มจะเป๋ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
คุณครูคอยแอบแสดงความยินดีอยู่ไกลๆ เมื่อลูกศิษย์ได้ดี

เนื่องในโอกาสนี้ และในโอกาสวันครู
ขอยกให้อาชีพครูเป็นหนึ่งในอาชีพที่เจ๋งที่สุดในโลก
และขอสัญญาว่า ถ้าเราโตขึ้นไปเป็นครู เราจะดูแลลูกศิษย์ให้ดีเหมือนกับที่เราได้รับการดูแลมา

ขอบคุณครูทุกคนครับ