January 15, 2018

แนะนำหนังสือ thank god it's monday



(หน้าปกหนังสือ thank god it's monday)


พี่รุตม์

งานประจำงานแรกหลังจากเราจบ ป.ตรี ที่ธรรมศาสตร์
ก็คือ การเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัท thomson reuters

ปีที่เราเข้าไป ถือว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่
กินตึกทำงานไปประมาณ 10 ชั้นถ้าจำไม่ผิด

เนื่ิองจากว่าพนักงานเยอะ เลยมีนักดนตรีพอที่จะตั้งวงดนตรีภายในบริษัทได้
และนี่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

พี่รุตม์เป็นคนแรกๆ (คนก่อตั้งด้วยมั้ง) ที่อยู่ในวงดนตรีที่นั่น
เป็นนักร้องนำและเล่นกีตาร์เป็นหลัก
เราก็โชคดีนะ ได้มีโอกาสได้เล่นดนตรีกับพี่รุตม์เป็นสิบๆงานเลย


การเล่นดนตรีแต่ละงาน มันก็ต้องมีการประชุมวางแผนอะนะ
แบบว่า ใครจะเล่นอะไร จะเล่นเพลงอะไรบ้าง วันจริง ใครจะขนของกี่โมง ฯลฯ
ทำให้เราได้เห็นความรับผิดชอบและฝีมือการแก้ปัญหาของพี่รุตม์

ถ้าให้หาคำนึงมาบรรยายพี่รุตม์เวลาทำงาน ขอใช้คำว่า effective
คือ พลังงานที่ใส่ลงไปในงาน คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้ทุกครั้ง

ลองนึกถึง การประชุม 1 ชั่วโมงแล้วไม่ได้อะไรดู นั่นคือความไม่ effective
พี่รุตม์เป็นตรงข้ามของสิ่งนั้น

เห็นพี่รุตม์เวอร์ชั่นนั้นแบบ 10 กว่าปีแล้ว
ว่าเป็นคนที่แก้ปัญหาและทำงานร่วมกับคนอื่นเก่ง
ปัจจุบันก็ต้องเก่งกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีก

จากนั้นวันนึงเริ่มเห็นพี่รุตม์เขียน blog ชื่อ anontawong’s musing
มีเพจใน facebook ก็รีบเข้าไปกดไลค์และ follow ทันที

จากการติดตามอ่านสิ่งที่พี่รุตม์เขียน ก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง หลักๆก็คือ
ความขยันเขียนทุกวัน
ฝีมือการอธิบาย
ความรักการอ่านและความรู้รอบตัวจากการอ่านเยอะ
และความไม่อวดรู้ อะไรที่รู้ก็รู้ อะไรที่ไม่รู้ก็ยอมรับ

ซึ่ง ถ้าเกิดพี่คนนึงที่นับถือ และมีคุณสมบัติข้างบนมาเขียนหนังสือ มันก็คงต้องไปซื้อมาแล้วแหละ

แล้วพี่คนนี้ก็เขียนหนังสือออกมาจริงๆ ชื่อ thank god it’s monday

หลังจากหาอยู่นาน และแม้จะช้ากว่าคนอื่นไปเยอะ
ในที่สุดเราก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้

ในโพสนี้เราอยากจะรีวิว (และแนะนำ) หนังสือเล่มนี้


พนักงานประจำไม่ดีตรงไหน

ดูจากหน้าปกหนังสือและพวกคำนำต่างๆโดยที่ไม่ได้อ่านเนื้อหา
หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดกับคนอ่านในยุคปัจจุบัน
ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ตาม ดูเหมือนว่า
อะไรๆก็พูดถึง การออกตามความฝัน ทำในสิ่งที่รัก เป็นเจ้านายของตัวเอง

เราขอเรียกหนังสือพวกนี้ว่า หนังสือ follow your passion

แล้วเหมือนว่าค่านิยมเหล่านี้มันจะโดนเอามารวมกัน
(ถ้าอยากออกตามความฝัน ทำในสิ่งที่รัก ควรจะเป็นเจ้านายของตัวเอง)

ไม่ใช่แค่นั้น เหมือนคนจะคิดกันไปต่อว่า การเป็นเจ้านายตัวเอง “ดี” กว่างานประจำ

เราเคยลองอ่านซื้อหนังสือ follow your passion พวกนี้ดูดีๆบ้างแล้ว
จริงๆมันไม่ได้ชักจูงอะไรผิดๆนะ

เท่าที่เราอ่าน หนังสือพวกนี้มันบอกว่า
ถ้าอยากมีอิสระทางการเงินและเวลาในอนาคตแนะนำให้เป็นเจ้านายของตัวเอง

มันไม่ได้บอกเลยนะว่า มัน “ดี” กว่างานประจำหรือ “มีความสุข” กว่างานประจำ
แต่ด้วยเหตุผลซักอย่าง คนคิดกันไปอย่างนี้เยอะมาก

สเน่ห์ของหนังสือ thank god it’s monday มันมาจากการสวนทางกับกระแสนี้นี่เอง

พี่รุตม์ (ซึ่งเป็นผู้ที่เหมาะจะเขียนหนังสือเล่มนี้มากๆ)
ก็เขียนออกมาเตือนใจ และมาพูดถึงข้อดีของงานประจำที่คนมักจะมองข้ามไป

เราว่า นี่คือ ประโยชน์สูงที่สุดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้แล้วแหละ



มากกว่าเรื่องของพนักงงานประจำ


จากนั้นก็จะเป็นเรื่องของทัศนคติในการทำงาน เช่น คำแนะนำเมื่อเป็นพนักงานใหม่ ทำยังไงถึงจะทำงานประสบความสำเร็จ

จากนั้นเหมือนว่าเนื้อหาจะเริ่มขยายกว้างขึ้น
มีเทคนิคต่างๆในการเลือกสิ่งที่จะทำ การแบ่งเวลาทำงาน
หรือ เทคนิคที่เจาะจงไปถึงวิธีการเขียนวาระประชุม หรือการทำงานแบบ kanban

สำหรับคนที่ชอบอ่านพวกเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริงทันที
แนะนำให้ซื้ออ่านมากๆ
เพราะพี่รุตม์เค้าสรุปเทคนิคพวกนี้มาให้แบบเข้าใจง่ายโคตรๆ

ไม่ได้จบแค่นั้น ยังต่อไปถึงทัศนคติการใช้ชีวิตด้วย เช่น การเป็นตัวของตัวเอง หรือ การดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่ามือถือ

ซึ่งอ่านไป ก็รู้สึกว่า ประมาณครึ่งเล่มหลัง
เนื้อหามันใช้ได้กับพนักงานประจำก็จริง แต่มันใช้ได้ในบริบทที่กว้างกว่านั้นอีก
รวมไปถึงการเป็นเจ้านายตัวเองหรือการใช้ชีวิตประจำวันโดยทั่วไปด้วย

เรารู้สึกว่าพี่รุตม์มีของดีมาแชร์เยอะมากกกก
แค่ติดกรอบในเรื่องของการตีพิมพ์และ package
ว่ามันต้องเจาะตลาดคนประเภทหนึ่งด้วยชื่อหนังสือ thank god it’s monday
ไม่งั้นทางสำนักพิมพ์ก็อาจจะขายไม่ออกอีกถ้ากว้างเกิน

แต่สรุปก็คือ ผู้อ่านได้มากกว่าที่หน้าปกสัญญาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องดีนะ
และเท่าที่ดูรีวิว เหมือนว่าทำได้ถูกต้องแล้ว
ขายเกลี้ยงจนกระทั่งต้องตีพิมพ์ครั้งที่สอง
และพนักงานบริษัทที่อ่านก็ได้ประโยชน์กันไปถ้วนหน้า

สำหรับเราแล้ว หนังสือนี้คือ สรุปข้อคิดชีวิตพี่รุตม์

มันไม่ใช่แค่หนังสือที่ชี้ให้เห็นประโยชน์ของการทำงานประจำ
แต่มันคือให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตที่พี่รุตม์ใช้ได้ผลแล้วเอามาแบ่งให้อ่านกัน
ถ้าเป็นเจ้าของบริษัท ก็แนะนำให้เอาหนังสือเล่มนี้ให้ลูกน้องอ่าน (อ่านเองด้วยก็ได้)
ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็แนะนำให้เอาหนังสือเล่มนี้ให้ลูกอ่าน
ถ้าเป็นคนที่สนใจเรียนรู้อะไรใหม่ๆตลอดเวลา แนะนำให้ซื้อมาอ่านเอง

ในส่วนสไตล์การเขียน สำหรับคนที่อ่าน blog anontawong’s musing เป็นประจำ
หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นการเอาบทความเจ๋งๆหลายๆบทความ
มาเล่าเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง ประติดประต่อกันให้อ่านเพลิน
(เราก็เลยอ่านทีเดียวจบอะนะ)

ภาษาที่ใช้ก็มักจะเป็นเหมือนนั่งฟังพี่รุตม์คุยอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
เรื่องที่เล่าก็จะปนๆกัน ระหว่างประสบการณ์ชีวิตจริงของพี่รุตม์
หรือบทความหรือเทคนิคจากที่อื่นที่น่าเอามาแชร์

ซึ่งส่วนตัวชอบเวลาพี่รุตม์เล่าประสบการณ์ตัวเองมากกว่า
แต่เหมือนว่า การเอาเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญหรือคนดังๆมาแบ่ง อาจจะมีน้ำหนักสำหรับผู้อ่านมากกว่า
(อาจจะเป็นเพราะเรารู้อยู่แล้ว ว่า พี่รุตม์เชื่อถือได้ เลยอยากฟังอะไรที่มันดูใกล้ตัวมากกว่าคำพูดจากผู้เชี่ยวชาญ)

สิ่งที่คิดว่า น่าจะเพิ่มเติมไปได้อีก
น่าจะเป็นส่วนของการเกริ่น หรือหาวิธีประติดประต่อ แต่ละภาคแต่ละบทเข้าด้วยกัน

บางครั้งเวลาอ่านแล้วรู้สึก เหมือน มันเป็นตอนสั้นหลายๆตอนมารวมกัน
ซึ่งแต่ละตอนมันก็จบในตอน แล้วก็ขึ้นเรื่องใหม่

ซึ่ง thank god it’s monday มันก็มี บทนำและการแบ่งภาคชัดเจน ก็ทำให้ตรงนี้มันดีขึ้น
แต่บางครั้งเราก็รู้สึกสะดุดเล็กๆเวลาขึ้นบทใหม่ว่ามันเกี่ยวกับบทที่แล้วยังไง
และตอนนี้เราอยู่ภาคไหนของหนังสือแล้ว จนต้องกลับไปดูสารบัญ

แต่โดยรวมก็ถือว่า อ่านลื่นอยู่ดี



แนะนำให้อ่าน

สรุป คือ หนังสือนี้อ่านสนุก มีข้อคิดดีๆ และเทคนิคดีๆที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันเต็มไปหมด

ถึงแม้ว่าหนังสือจะชื่อว่า thank god it’s monday และดูเหมือนจะเน้นชีวิตพนักงานประจำ
แต่หนังสือเล่มนี้อัดแน่นด้วยอะไรดีๆมากกว่านั้นเยอะ

ไปซื้อซะนะ thank god it’s monday

ขอบคุณครับพี่รุตม์ที่เขียนหนังสือดีๆมาแบ่งกัน
แล้วก็อย่าลืมไป อุดหนุน blog พี่รุตม์น้าาาา
https://anontawong.com/