July 22, 2013

หนังสือที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น

สมัยเด็กๆเราเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือนะ
จะมีอะไรสนุกไปกว่าการเล่นเกม กับเตะบอลละ
มุมมองโลกเรา โคตรแคบ คิดว่าโลกหมุนรอบเราทุกอย่าง เอาแต่ใจ ฯลฯ
เพิ่งมาเปลี่ยนได้ เพราะว่าคบเดียร์เนี่ยแหละ (ขออนุญาตอวยภรรยา :D)

คิดว่าหลังจากเราได้ปรับปรุงตัวมาประมาณ 1 ทศวรรษ
เราเริ่มรู้จักคุณค่าของการฟังความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น

เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว เราได้ทำความรู้จักกับรุ่นน้องธรรมศาสตร์คนนึง ชื่อเล่นว่า แอมป์ (ยังไม่มีชื่อญี่ปุ่นให้)
แอมป์เป็นคนที่ชอบแบ่งปันอะไรที่มีประโยชน์กับชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องชอบรีวิวหนังสือ (ว่างๆเข้าไปอ่าน blog ของแอมป์กันได้ มีเรื่องดีๆเยอะ โดยเฉพาะเรื่องทีมและการบริหารเวลา)
เรารู้สึกว่าเท่ เลยพยายามเลียนแบบ พยายามหาเรื่องเป็นประโยชน์มาแบ่งคนอื่นบ้าง

นอกจากการรับฟังความคิดคนอื่น และการพยายามหาเรื่องเป็นประโยชน์มาแบ่งคนอื่น
เราเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้นด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนึงจบไป ซึ่งเราคิดว่าเป็นหนังสือที่ถือได้ว่า เปลี่ยนชีวิตเลยทีเดียว

หนังสือเล่มดังกล่าวคือเล่มนี้นี่เองงงงง

nonviolent communication

หน้าตาเป็นงี้

516Y10hCnML

หาซื้อได้ที่นี่ (เหมือนจะมีเวอร์ชันไทยด้วย)

เนื้อหาคร่าวๆดังเน้

เคยป่าว เวลาแบบไม่ชอบหน้าใครซักคนด้วยสาเหตุอะไรซักอย่าง แต่ตอนหลังมารู้ว่ามันเป็นเด็กกตัญญู ก็เลยกลายเป็นว่าชอบมันเลย เพราะตัวเองเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความกตัญญูมาก
หรือว่าแบบ เข้าชมรมดนตรี ทั้งๆที่เจอคนไม่รู้จัก แต่คุยกันถูกคอ เพราะชอบดนตรีเหมือนกัน
หรือว่าแบบ หมั่นไส้ลีซอวะ แต่พอรู้ว่ามันทุ่มเท ชอบช่วยเหลือคนก็ให้อภัย เพราะชอบคนดี
หรือว่าแบบ เกลียดขี้หน้าไอ้นี่ ปรากฏคุยไปคุยมา ชอบแมนยูเหมือนกัน หายเกลียดเลย
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ส่วนตัวเป็นบ่อยมาก คือ ถ้าเพื่อนทำอะไรไม่ถูกใจพอให้อภัยได้ แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักกลับไม่ให้อภัย

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น คือ คนเราจะเปิดใจมากขึ้นเมื่อมีความรู้สึกหรือประสบการณ์อะไรที่ตรงกัน
จะว่ากันไป มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ที่คนเราทุกคนจะมีประสบการณ์อะไรที่ตรงกันให้เชื่อมความรู้สึกกันได้
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ทุกคนที่เกิดมาเป็นคน ต่างก็มีความรู้สึกดีใจ เสียใจ โกรธ ฯลฯ
ถ้าเราคุยกันโดยที่แชร์ความรู้สึกกัน จะทำให้เราพบว่า เรามนุษย์ทุกคนมีอะไรร่วมกัน และจะทำให้การสื่อสารเป็นไปในทางบวก

ทฤษฏีของผู้เขียนก็เลยเป็นประมาณว่า
ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกว่า เรา "เก็ต" ความรู้สึกเค้า เค้าจะเปิดใจกับเรามากขึ้น คุยกันรู้เรื่องขึ้น และความรุนแรงน้อยลง
เก็ต ในที่นี้ หมายถึง เราต้องฟังทั้งตัวและหัวใจ
วิธีวัดง่ายๆว่า เก็ตผู้ฟัง หรือไม่เก็ต คือ ลองอธิบายความรู้สึกของผู้ฟังด้วยคำพูดเราเอง ถ้าพูดได้ทั้งหมดอย่างถูกต้องแปลว่า เก็ต
หลังจากเราเก็ตผู้ฟัง เค้าจะเปิดใจรับการสื่อสารเรา
จากนั้นเราก็สื่อสารด้วยภาษาที่ฟังลื่นหู

หนังสือเล่มนี้ สอนเป็นขั้นๆเลยว่า
1. ทำยังไงถึงจะฟังให้ เก็ต คนอื่นได้
2. ทำยังไงถึงจะสื่อสารความรู้สึกและความต้องการเราได้อย่างลื่นหู

ย้ำว่า สอนให้เป็นขั้นๆเลย
ในความเห็นส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมากว่าที่คิดมาก
แต่เราไม่เคยคิดได้เองมาก่อนเลย

ตัวอย่าง ประโยชน์ของการอ่านหนังสือเล่มนี้ (ถ้าได้ใช้จริงๆ) คือ
รู้จักฟังปัญหาของเพื่อนมากขึ้น
รู้จักวิธีลดความโกรธที่ถูกต้อง
รู้จักวิธีการพูดไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนว่าอยู่
รู้จักการชมคนอื่นจากใจจริง ฯลฯ

ทำให้
เข้าใจเพื่อนมากขึ้น
ไม่หงุดหงิดเวลาใครทำอะไรไม่ถูกใจ
ไม่โกรธเวลาโดนรถปาด
ไม่ตัดสินคน
คุยกับลูกรู้เรื่องขึ้น
และสุดท้ายก็มีความสุขมากขึ้น
(ในหนังสือยกตัวอย่างว่ามีคนรอดจากการโดนฆ่าเพราะสื่อสารกับผู้ทำร้ายด้วยซ้ำ)

คิดว่า เกือบทุกคนในโลกจะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ไม่ว่าจะเป็น
คนพูดดีอยู่แล้วแต่อยากสื่อสารกับคนอื่นได้ดีกว่าเดิม
คนปากหมา
คนที่มีความรู้เยอะและชอบสอนคนอื่น
คนชอบดราม่า
คนชอบแก้ logic คนอื่น
คนชอบปลอบใจคนอื่น
คนชอบให้คำแนะนำคนอื่น
คนชอบเล่านิทาน
สรุปก็เกือบทุกคนในโลกนะ

เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนอ่านนะ
แล้วที่สำคัญอย่าอ่านผ่านๆแบบเอาสนุก
อยากให้อ่านทุกเม็ด คิดตามทุกเม็ด เพราะ จะได้ใช้จริงๆในชีวิตประจำวัน ทุกวัน (ยกเว้น วันๆไม่สื่อสารกับใคร)

มาช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกนิดนึงกันเหอะ

ว่าแล้ว เราก็จัดซื้อให้คุณแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว