August 16, 2015

ประสบการณ์ฝึกงานที่ Google: ตอน สัมภาษณ์

เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมาเราโคตรโชคดี มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ Google



หลังจากได้ข่าวดีว่า Google รับเราเข้าฝึกงาน
เราก็จัดการประกาศข่าวดีลงเฟสบุค เพื่อจะให้คนมายินดีด้วย (เพิ่มอีโก้ให้ตัวเอง แหะๆ)

มีเพื่อนจำนวน >= 1 คน ในทั้งหมดที่มายินดีด้วย
บอกว่าฝึกงานเสร็จอย่าลืมเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะ

สำหรับตอนนี้การฝึกงานก็ได้จบลงไปแล้ว
คิดว่าน่าจะเป็นเวลาที่ดีที่จะเอาประสบการณ์มาแบ่งกันละ

จะพยายามแบ่งเป็นตอนๆ จะได้ไม่ยาวเกิน
และหนึ่งโพสจะได้มี theme เดียวด้วย



หมายเหตุ
เราอีเมลไปสอบถาม แผนกข่าวและการตีพิมพ์ของ Google ว่าโอเคไหมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ผ่าน blog
เค้าก็บอกว่าโอเค เขียนเล่าประสบการณ์ได้ แต่อย่ารั่วข้อมูลภายในเด็ดขาด
ฉะนั้นถ้าเพื่อนๆเห็นว่าตรงไหนที่เราเขียนค่อนข้างคลุมเครือๆ แปลว่าเราลงรายละเอียดไม่ได้นะๆ

อีกอย่างนึง คือ สิ่งที่เราเขียนทุกอย่างนี้เป็นความเห็นส่วนตัวทั้งหมด 100%
ความเห็นของ Google สามารถหาได้ที่ offical blog ของบริษัท


คุยกับ recruiter


เมื่อตอนเดือนกันยายนปีที่แล้ว มหาวิทยาลัยเราจัด career fair
ที่มันจะเอาพวกบริษัทต่างๆมาตั้งซุ้ม

นักศึกษาก็ทะยอยกันเข้าไปคุยกับคนที่มาโฆษณาบริษัท และมอบ resume ให้กับบริษัทที่ตัวเองสนใจ
เราก็เอา resume เราไปหว่านๆตามบริษัทต่างๆ
บวกกับไปเอาของฟรี เช่น เสื้อยืด ปากกา ไพ่ ที่เปิดขวดเบียร์
ที่บริษัทเหล่านั้นมักจะแจกฟรีเพื่อดึงดูดนึกศึกษาให้เข้าไปคุย (ได้ผลอยู่นะ)

หนึ่งในบริษัทนั้นก็ Google เนี่ยแหละ เราก็เข้าไปคุยกับพนักงานที่มาโฆษณาบริษัท
(เป็น software engineer มาเอง ไม่ใช่ฝ่ายบุคคล)
แล้วก็ยื่น resume ไป

ข่าวคราวเงียบหายไป แต่เราก็เรียนวุ่นจนไม่ได้ติดตามอะไร

หนึ่งเดือนถัดมา (ตุลาคม) มีอีเมลมาจากแผนกบุคคล (จากนี้ไปจะเรียก recruiter อ่านว่า รี ครู้ เต้อ)
อีเมลบอกว่า "เฮ้ หวัดดี นี่จาก Google นะ สนใจสัมภาษณ์ไหม"
เราก็ตอบไปว่า "เอ้ว สนใจดิ"
ก็เลยนัดสัมภาษณ์รอบถัดไป


คุยกับ software engineer สามคน


ก็ได้วันนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งก็คืออีกหนึ่งเดือนถัดมา (พฤศจิกายน)
โดยจะมีแจกัน (คนโท! เอ้ย คนโทร!) มาสามคน
เราจะได้คุยด้วยคนละ 45-50 นาที และจะมีเวลาพักระหว่างแต่ละคนประมาณ 10-15 นาที
ก็คือสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ 3 ชั่วโมงนั่นแหละ ได้เวลา 3-6 โมงเย็นมา

ก็หนึ่งเดือนถัดไปจนถึงวันสัมภาษณ์
การเตรียมตัว เราก็อ่านไอ้หนังสือเล่มเนี้ย
ซึ่งวางตั้งอยู่ในแลบของเราเป็นการเตรียมตัว

มาถึงวันสัมภาษณ์เราก็ไปหาห้องเงียบๆ
แล้วก็ใส่หูฟังของมือถือเรา (มือต้องว่างเพราะจะต้องเขียนโค้ด)

แต่ละคนที่โทรมาสัมภาษณ์
ลักษณะก็คือ แนะนำตัว ถามคำถาม ถกเรื่องคำตอบว่าคำตอบไหนดีไม่ดียังไง
พอตกลงคำตอบที่โอเคแล้ว
ก็เขียนโค้ดคำตอบที่ตกลงกันได้ลง google doc เดี๋ยวนั้น
หลังจากเขียน code แล้ว ก็จะคุยกันว่า code มันเร็วแค่ไหน มี bug ไหม
ถ้าทำให้โจทย์ยากขึ้นจะเพิ่มอะไรใน code บ้าง

โดยรวมแล้วเราคิดว่าความยากไม่เวอร์
สิ่งที่ต้องมีคือ พื้นฐานป.ตรีด้าน discrete math, data structure และ algorithm แน่น
ก็คือ ต้องพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์เป็น
ต้องรู้ว่าพวก binary tree, graph ฯลฯ ทำงานยังไง
ต้องรู้ว่า big O คืออะไรและเขียนโค้ดยังไงสำหรับ big O ต่างๆ
จะเห็นได้ว่าการเตรียมสอบสัมภาษณ์ก็อารมณ์ประมาณเตรียมสอบไฟนอลสามวิชาพร้อมๆกัน

แต่นอกจากความยากของโจทย์
คิดว่าเป็นเรื่องของการสื่อสารที่ต้องคุยภาษาวิชาการทางโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายๆ

การพูดคุยทางโทรศัพท์รู้สึกว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี


คุยกับทีมที่จะทำงานด้วย


ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ถัดมา เราก็ได้อีเมลมาจาก recruiter ว่า "ได้สัมภาษณ์เข้าสู่รอบสองเว้ย เย่"
รอบสองนี้เป็นการ match ทีมที่เราจะเข้าไปทำงานด้วย
โดยให้เรากรอกว่าเราอยากทำงานด้านไหน
แล้วถ้าทีมไหนมีตำแหน่งฝึกงานว่างอยู่ในด้านนั้น เค้าก็จะติดต่อมา
แล้วถ้าเราและทีมนั้นเกิดชอบพอกัน เราก็ลงเอยด้วยกัน

เราก็ใส่ไปในฟอร์มว่า
"อยากได้อะไรที่เกี่ยวกับที่วิจัยอยู่
ถ้าเป็นอะไรแนว programming language หรือ compiler
หรืออะไรเงี้ยะๆ ได้ไหมอ่าห์เธอว์"

ก็รอไปสิ สองสัปดาห์ผ่านไป แบบเงียบๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่าทางว่าจะไม่มีทีมไหนอยากได้คนเรื่องมากอย่างเรา

เราก็เริ่มทำใจละว่า
อุตส่าห์สัมภาษณ์วิชาการผ่าน แต่เรามันเป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครสนใจ


ปาฏิหาริย์


และแล้วปาฎิหาริย์อย่างในพระคัมภีร์ก็เกิดขึ้น

ย้อนความนิดนึงคือ เมื่อเทอมแรกที่เราเข้าไปเรียนป.เอก
เราต้องเป็นผู้ช่วยสอน (TA) วิชา software engineering ให้อาจารย์คนนึง
แล้วทีนี้เราทำงานถูกใจอาจารย์ (ได้รางวัล TA ดีเด่นเลยเชียวนะเว่ย โม้หน่อยๆ)
อาจารย์เลยมีความเชื่อใจในความสามารถเรา

ทีนี้อาจารย์คนนี้ก็มีคนรู้จักกว้างขวาง รวมไปถึงคนใน Google ด้วย
มีทีมนึงอีเมลมาถามอาจารย์คนนี้ว่า
"เฮ้ย นายอะ มีลูกศิษย์คนไหน สนใจฝึกงานกับเราไหม ปีนี้เราจะรับนักศึกษาฝึกงานได้อีกหนึ่งคน"

อาจารย์คนนั้นก็ส่ง forward เมลให้ทุกคนใน lab ว่า
"เฮ้ย พวกเมิง ใครสนใจทำงาน Google เดี๋ยวแนะนำให้คนกลุ่มนี้รู้จัก"

หลังจากเราขอบคุณพระเจ้าเสร็จ เราก็ส่งอีเมลไปหาอาจารย์คนนี้บอกว่า
"กระผมสัมภาษณ์รอบแรกผ่านละ กำลังหาทีมอยู่พอดีเลย ช่วยหน่อยจิๆ"

อาจารย์ก็จัดให้
เห็นผลชัดเจนเลย

วันต่อมา recruiter ส่งอีเมลมาบอกว่า
"เย่ มีคนอยากได้หมาหัวเน่าอย่างมึงแล้ว"

ก็นัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์อีกที เพื่อดูว่าเรากับทีมนั้นเหมาะสมกันจริงหรือเปล่า
ถึงวันที่ต้องโทรคุยกัน ทาง tech lead ของทีมนั้นก็โทรมา
เล่าให้ฟังว่าโปรเจคมันคืออะไร
ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ programming language หรือ compiler อย่างที่เราทำวิจัยอยู่
แต่เป็นงานด้าน software engineer
แต่เป้าหมายใหญ่ก็เหมือนๆกันคือ ทำอะไรก็ได้ให้ชีวิตโปรแกรมเมอร์ดีขึ้น
เราก็เลยแสดงความสนใจไป บอกว่าอยากทำงานด้วยนะ

การคุยกันก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีความเครียดอะไร
รอบนี้ไม่มีเขียนโค้ดละ
หลักๆสำหรับรอบนี้คือต้องใช้พลังการเข้าสังคม
คือ ต้องเป็นคนที่มีความสนใจคนอื่น กระตือรือร้นอยากรู้รายละเอียดของฝ่ายตรงข้าม
ถามคำถามเยอะๆ และอย่าทำตัวยโส อวดรู้ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ฯลฯ

ชีวิตเราที่ผ่านมาประมาณ 10 ปีล่าสุดที่เจอแต่คนที่เก่งกว่าและน่าสนใจกว่ารอบๆตัว
ทำให้เราได้ฝึก skill นี้มาเป็นอย่างดี
รอบนี้เลยรู้สึกธรรมชาติมาก

ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้ๆคริสมาส เราก็กลับบ้านที่เมืองไทย
ส่วนทีมนั้นก็คงจะมีวันหยุดคริสมาสอะไรงี้
พอหลังเทศกาลปีใหม่ ก็ได้อีเมลมา "ยินดีด้วย!"

จังหวะนั้น ชั้นนี่คือแบบกรี๊ดสุดๆอะเมิง
ก็เล่าให้ที่บ้านฟัง แล้วก็โพสอวดทางเฟสบุคเป็นที่เรียบร้อย
กลายเป็นการกลับไปพักผ่อนที่ไทยที่สนุกคูณสองเลย

แต่ที่ดีใจมากไม่ใช่แค่เรื่องที่ได้ฝึกงาน
แต่เป็นเรื่องที่จะได้ไปอยู่เมือง mountain view
ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากที่ทำงานของเดียร์ (ภรรยา/แฟน/เพื่อนสนิท) ไปแค่ 2 ชั่วโมงถ้าขับรถ
เปรียบเทียบกับตอนเรียนอยู่ซึ่งอยู่คนละซีกของอเมริกา
ทีนี้เราจะได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้ว


สิ่งที่น่าสนใจ


สิ่งที่น่าจะฝากคนอื่นได้จากการสัมภาษณ์ที่ Google ก็คือ
จากที่เราเจอมา เหมือนความสามารถในการเขียนโค้ดมันจำเป็นระดับนึง
แต่พอเลยระดับนึงนั้นไปแล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับการทำงาน
ก็คือ ความสามารถในการสื่อสาร การอธิบายความคิดตัวเองที่คนอื่นเข้าใจได้ และความเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี

อีกอย่างนึงคือ การทำดีกับคนอื่นไว้เยอะๆ แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์กับเรา ไม่มีอะไรเสียหาย
ตอนนั้นเราเป็น TA วิชา software engineer ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับที่เราอยากวิจัยเท่าไร เราทำเต็มที่
ผลออกมาอาจารย์ก็พอใจ ผ่านไปตั้งปีนึงอยู่ๆก็มีโอกาสที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเรา
จากการใช้ชีวิตมา 30+ ปี พบว่าการทำอะไรดีๆโดยไม่หวังอะไร
หลายๆครั้งอยู่ๆมันก็กลับมาช่วยเราในระยะยาวโดยไม่ได้ตั้งใจ


สมัครบริษัท Asana ด้วยแต่สอบตก


โอเค จบไปสำหรับเรื่องสวยหรู
อยากจะแบ่งปันเรื่องไม่สวยหรูให้ฟังด้วย
คนอ่านจะได้เห็นว่าทุกๆคนมันก็ต้องเจอความขรุขระในชีวิต
ครึ่งหลังของโพสนี้ เราจะเขียนประสบการณ์ที่เราตกสัมภาษณ์บริษัทที่ชื่อว่า Asana

ในช่วงที่เรากำลังเป็นหมาหัวเน่า ยังไม่มีทีมไหนติดต่อมา
เราเริ่มเล็งเห็นแล้วว่า เราควรจะลองสมัครบริษัทอื่นที่เราชอบด้วย

นอกจาก Google แล้ว เรายังสมัครบริษัท start up ที่ชื่อว่า Asana ด้วย
สาเหตุที่สมัครบริษัทนี้เพราะว่าที่นี่มี culture ที่น่าทำงานมาก
ก็คือเรื่องของการ คิดถึงเค้าคิดถึงเรากับทุกสิ่งทุกอย่าง (มันใช้คำว่า mindfulness)

แถมเราก็ยังไปอ่านเจอมาว่าพนักงาน Asana มีความสุขมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เนื่องจากเป้าหมายในชีวิตเรา
นอกจากอยากจัดคอนเสิร์ตเล็กๆส่วนตัวกับกลุ่มเพื่อนๆที่สนิท
และมีสนามบอลเป็นของตัวเองแล้ว
เราก็ยังอยากมีบริษัทของตัวเองด้วย
ถ้าเราได้ไปฝึกงานที่ Asana เราจะเข้าไปค้นพบว่า เจ้าของบริษัทต้องทำอย่างไรให้พนักงานมีความสุข

เราก็เลยสมัครไป ส่ง resume กับกรอกฟอร์มทางเวบ
สมัครไปไม่กี่ชั่วโมง (สาบานได้ว่าหลักชั่วโมง)
มี recruiter อีเมลมาบอกว่า
ขอบคุณมากที่สนใจ Asana เราอยากรู้ความสามารถการเขียนโปรแกรมของคุณ


รอบแรก เขียนโค้ดออนไลน์


เค้าก็ส่ง link มาให้ซึ่งเป็น link ที่พอเปิดปุ๊ป จะมีโจทย์ให้เขียนโปรแกรมภายใน 30 นาที
ให้เขียนในนั้น ห้ามใช้ IDE ให้ใช้ notepad แล้ว copy paste ลง browser
เพราะอยากรู้ว่าเขียนโปรแกรมโดยไม่พึ่ง IDE ได้ไหม แล้วเป็นคนละเอียดแค่ไหน
ก็เขียนแล้วก็ส่งไป


รอบถัดมา คุยกับ software engineer หนึ่งคน


สามวันต่อมา recruiter บอกว่า "อื้ม ดูดี เข้ารอบ
เดี๋ยวรอบต่อไปโทรศัพท์คุยกับ software engineer เราคนนึง"

ไม่กี่วันถัดจากนั้นก็ได้คุยโทรศัพท์สัมภาษณ์กับ software engineer คนนั้น
อันนี้อารมณ์เหมือน Google ก็ใช้ความรู้พื้นฐานป.ตรีเหมือนกันเลย
ก็สัมภาษณ์เสร็จก็คิดว่าผ่านไปด้วยดี ถามคำถามไปเยอะเหมือนกันเพราะอยากรู้เกี่ยวกับการทำงานใน Asana


ไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิส


สามวันถัดมาได้อีเมลมาจาก recruiter บอกว่า โอเค เข้ารอบต่อไป
เผอิญตอนนั้นเป็นช่วงปลายๆเทอมเรากำลังจะสอบเสร็จและบินไปหาเดียร์พอดี
เราเลยขอเค้าว่า เข้าไปสัมภาษณ์แบบตัวเป็นๆเลยได้ไหม เพราะจะบินไปแถวนั้นอยู่แล้ว

เค้าก็นัดวันสัมภาษณ์มา เป็นสัมภาษณ์แบบครึ่งวัน
นัดไว้เที่ยงครึ่ง ไปถึงก็เจอออฟฟิสสวยดี


อย่างแรกที่เค้าทำก็คือพาไปกินข้าวเที่ยงกับคนสัมภาษณ์คนแรก
ก็เป็นโรงอาหารที่คนทั้งบริษัทกินพร้อมกัน เพราะบริษัทยังเล็กอยู่
มีอาหารที่ดูมีประโยชน์ (ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมา อายคนสัมภาษณ์ แหะๆ)
เสร็จแล้วก็พาเข้าห้องสัมภาษณ์เลย


เจอคนแรกเริ่มหืด


สัมภาษณ์แรกก็เริ่มเห็นความโหดละ

คนสัมภาษณ์แนะนำตัวว่าเป็นเด็กป.เอก MIT แล้วเบื่องานวิจัยเลยลาออกมาทำ Asana
เห็น profile คนสัมภาษณ์เราก็เริ่มขี้หดละ
คำถามก็เกี่ยวกับ probability และต่อด้วยปัญหา dynamic programming
รู้สึกสัมภาษณ์ไม่ค่อยลื่นปรื๊ดเหมือนรอบแรกๆ แต่คิดว่าพอถูๆไถๆอยู่


เจอคนถัดก็หืดขึ้น


รอบต่อไปเค้าให้เข้าไปในห้องคนเดียว จากนั้นเค้ามีโจทย์มาให้สองหรือสามข้อเนี่ยแหละ
แล้วให้เปิด text editor ใน laptop ส่วนตัวของเราที่เอามา
ห้ามใช้ IDE แล้วก็ให้เขียนโค้ดภายใน 1.5 ชั่วโมงมั้ง ถ้าจำไม่ผิด
ก็เขียนทันอยู่นะ พอดีๆ เป็นโค้ดที่ตรงไปตรงมา คล้ายๆชีวิตประจำวันโปรแกรมเมอร์
(ไม่ได้มาแนวโจทย์ algorithm จ๋าเท่าไร)

จากนั้นมี software engineer เดินเข้ามาในห้องสองคนมาทำ code review
แล้วก็คุยกันว่าที่เขียนมานี่ big O เท่าไร ตรงนี้มีบั๊กนะ จะแก้ยังไง
รอบนี้ก็เริ่มตะกุกตะกักละ นอกจากขรี้หด ตอนนี้ก็ตดเล็ดด้วย
ผ่านการ code review ไปเรียบร้อยก็หันไปทางกระดาน

"เอาหละ เรามาคุยเรื่อง design ดีกว่า"
เค้าก็เริ่มถามเรื่อง database กับ mysql ซึ่งเราไม่ได้แตะมาชาตินึง
แต่เนื่องจากเป็นโจทย์ design เลยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ภาษา sql
เป็นแนวให้ออกแบบ table มากกว่า
อันนี้คิดว่าผ่านไปโอเคอยู่ ไม่แย่ๆ

สุดท้ายเค้าก็ให้เราถามคำถามบ้าง
เราก็ถามว่าสองคนนี้เคยทำงานที่ไหนยังไงบ้าง
คนนึงก็เคยทำงาน Quora คนนึงเคยทำงาน Google
ทั้งสองคนบอกว่า Asana ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาในเรื่องของทีม
ทุกคนเหมือนเปิดที่จะสามารถคุยกันได้ทุกอย่าง
ไม่มีความคิดไหนเรียกว่าโง่ ฯลฯ
ได้ยินงี้เลยยิ่งอยากเข้าเลยสิวะครับ


ปิดการสัมภาษณ์


แล้วสุดท้ายก็กลับไปเจอ recruiter อีกครั้ง เค้าก็อธิบายให้ฟังว่าขั้นตอนอะไรต่างๆเป็นยังไง
แล้วก็ถามเราว่ารู้สึกยังไงเกี่ยวกับการสัมภาษณ์บ้าง

ก็จบการสัมภาษณ์วันนั้น กลับไปแบบมึนๆ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้

หลังจากนั้นวัน christmas eve เราก็ได้โทรศัพท์มาจาก recruiter บอกว่า
"ขอบคุณเธอนะ แต่ฉันรับเธอไม่ได้"

ตอนนั้นก็จิตตกอยู่ประมาณนึง รู้สึกเสียดายที่ได้อดทำงานบริษัทเจ๋งๆอันนี้
แต่ซักพักเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กๆที่เราลืมไปในเวลาไม่นาน
แถมได้มาเล่าให้คนอื่นฟังในนี้ด้วยอีกต่างหาก


สิ่งที่น่าสนใจ


แต่จากประสบการณ์การสอบตกสัมภาษณ์เราก็ยังได้ข้อคิดเอามาแบ่งกัน

เรามาลองวิเคราะห์วิธีสัมภาษณ์ของ Asana แล้วเราชอบมากเลย
รู้สึกถึงความใส่ใจได้อย่างชัดเจน
ถ้าได้ฝึกงาน คงจะได้เรียนรู้อะไรด้านอื่นๆอีกเยอะเลย
เดี๋ยวหน้าร้อนหน้า ไม่แน่ๆ อาจจะลองใหม่

อย่างแรก ที่มีการเขียนโปรแกรม 30 นาทีส่ง
รู้สึกว่าเข้าท่าดี เพราะ ไม่เสียเวลาพนักงานเท่ากับที่ต้องคุยโทรศัพท์ live
พนักงานที่มา review คำตอบสามารถหาเวลาว่างได้โดยไม่โดน interrupt เวลาที่ตัวเองวุ่นๆ

อย่างที่สองคุยโทรศัพท์กับพนักงานคนเดียว
แทนที่จะแบบทีละสองสามคน
ข้อเสียคือถ้าคุยกันไม่ถูกใจกับคนนี้ก็จบเลย
แต่ข้อดีก็คือ ไม่เสียเวลาพนักงานอีกหนึ่งถึงสองคนถ้าเกิดผู้สมัครไม่เวิร์คขึ้นมา
การทดสอบทักษะ data structure และ algorithm ก็เหมือนบริษัทอื่นๆเท่าที่อ่านมา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เห็นด้วยว่า สัมภาษณ์โปรแกรมเมอร์ เวลาวัดพื้นฐานตรงนี้มักจะได้โปรแกรมเมอร์ดีๆ

อย่างที่สาม คุยกันบนกระดาน
อันนี้จำลองการถกกันที่เกิดขึ้นบ่อยๆในบริษัทจริงๆ
เวลาออกแบบ algorithm หรือ design อะไรก็ตาม
มักจะมาในรูปแบบการแตะไหล่ tech lead แล้วชวนไปคุยกันหน้ากระดานว่าไอเดียโอเคไหม

และสุดท้าย code review
อันนี้จำลองการทำ code review ของจริง
ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวเขียนโค้ดโดยไม่มีคนมานั่งจ้อง
หลังจากคิดว่าโค้ดพร้อม ก็จะเรียกคนมา review code

โดยสรุปแล้วเรารู้สึกว่า Asana ได้ออกแบบระบบการสัมภาษณ์มาอย่างดี เพราะ
(1) ไม่รบกวนพนักงานปัจจุบันจนเกินไป
(2) จำลองการทำงานจริงๆ หลายๆแบบทั้งการ design หรือ code review
(3) วัดความสามารถการเขียนโค้ด การ design และการสื่อสารของผู้สมัครได้
(4) แต่ละรอบได้คำตอบเร็วมากว่าผ่านไม่ผ่าน เพราะว่าเค้าเคารพเวลาผู้ไปสัมภาษณ์
(5) พร้อมที่จะพัฒนาเสมอ โดยการถามคนสัมภาษณ์ว่ารู้สึกยังไงบ้างหลังสัมภาษณ์


สรุป


สรุปแล้ว นี่คือ ประสบการณ์การสัมภาษณ์งานตำแหน่งเด็กฝึกงานใน sillicon valley
สำหรับหน้าร้อนปี พ.ศ. 2558

สอบได้หนึ่งที่ สอบตกหนึ่งที่ เป็นรสชาติของชีวิตที่ค่อนข้างอร่อย
หวังว่าใครมาอ่านแล้วคงได้ไอเดีย และแนวคิดเผื่อจะเอาไปประยุกต์กับการสัมภาษณ์บริษัทตัวเองบ้าง

ขอบคุณครัสสสส