September 04, 2015

สิ่งที่ควรรู้เวลาสมัครงาน


ไม่นานมานี้ มีรุ่นน้องคนนึงถามว่าเรามีคำแนะนำในการสมัครงานไหม
เราก็ตอบไปแบบ randomๆ แต่ไม่ได้เรียบเรียงความคิดให้ดี

เนื่องจากว่า เทอมนี้มีรุ่นน้องกำลังจะจบหลายคน (และมีที่เพิ่งจบเทอมที่แล้ว)
โพสนี้อาจจะใช้งานได้ สำหรับหลายๆคน

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของโพสนี้ ขอแนะนำตัวก่อน

ตั้งแต่เริ่มป.ตรี (เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว)
เรามีทำงานมาแล้ว รวมทั้งหมดน่าจะประมาณ 6 ที่
แปลว่าสัมภาษณ์ผ่าน 6 ที่ และที่เหลืออีกหลายๆที่คือ ไม่แม้แต่จะเรียกสัมภาษณ์ หรือสัมภาษณ์ไม่ผ่าน

งานที่ทำมีทั้ง ในประเทศไทย และในอเมริกา
งานที่ทำมีตั้งแต่ตำแหน่งเด็กฝึกงาน และพนักงานเต็มเวลา
งานที่ทำมีตั้งแต่ start up ยันบริษัทใหญ่ ยันงานภายในมหาวิทยาลัย

นอกจากนั้นสมัยทำงานอยู่ start up เราเคยไป career fair เพื่อพยายามเกณฑ์นักศึกษามาทำงานด้วย
รวมไปถึงเป็นคนอ่าน resume โทรสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ตัวต่อตัว โทรหา reference มาเป็นสิบๆแล้ว
ฉะนั้นถึงเราจะไม่ใช่ HR มืออาชีพ แต่เราพอมีประสบการณ์ที่หลากหลาย ที่น่าจะเอามาสรุปและแบ่งปันได้

หลักจากขี้โม้ไปประมาณ 10 บรรทัด เราก็เข้าเรื่องได้ละ

นี่คือบทเรียนในชีวิต เรื่องการสมัครงาน


รู้จักคนข้างในทำให้ได้สัมภาษณ์ง่ายที่สุด


คนที่เก่งกว่า profile เจ๋งกว่า แต่ไม่รู้จักคนข้างในบริษัท
มีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์น้อยกว่า คนที่ห่วยกว่า แต่รู้จักคนข้างใน

ลองคิดดูว่า เวลามีคนไม่รู้จักอีเมลมาขอความช่วยเหลือ หรือมีเพื่อนมาขอความช่วยเหลือ
อันไหนมีน้ำหนักกว่ากัน

มันก็เหมือนๆกับแผนกบุคคลในบริษัท ถ้ามีคนรู้จัก (คนที่อยู่ในบริษัทด้วยกัน)
แนะนำให้หยิบ resume ใครซักคนนึงขึ้นมาอ่าน
มันมีโอกาสที่จะถูกอ่านมากกว่า ใครก็ไม่รู้ส่ง resume มาหา


ถ้าไม่รู้จักคนข้างในต้องพยายามทำ cover letter กับ resume ให้ดี


เคล็ดลับของ cover letter คือ ต้องสั้น
หลักๆคือ บอกว่าสมัครตำแหน่งอะไร ทำไมถึงสมัคร และอะไรที่ทำให้เราเจ๋งสำหรับตำแหน่งนั้น อย่างละ 1 ประโยค
ตอนเราสมัครงานบริษัทนึง เราส่งไปว่า

เราอยากสมัครตำแหน่ง software engineer
ส่วนตัวเราก็ใช้ product ของบริษัท และอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนา
ทักษะที่เราได้จากประสบการณ์นี้ๆๆๆ น่าจะประยุกต์ได้โดยตรงกับตำแหน่ง

แค่ 3 ประโยค

เราเคยได้ cover letter ที่คนส่งร่ายประวัติศาสตร์การทำงานมาเป็น paragraph มาเต็มหนึ่งหน้า
ผลคือเราก็ขี้เกียจอ่าน พออ่านแล้วก็ไม่แน่ใจว่าใจความที่สำคัญที่สุดคืออะไร บางทีเราก็เลยแทบไม่ได้อ่านเลย
ผู้สมัครก็เสียโอกาสที่จะโฆษณาตัวเองเลย

ต่อไปก็ resume

ส่วนตัวรู้สึกว่า resume ไม่เคยจะมีผลอะไรทั้งนั้นในการสมัครงาน
ส่งไปก็หายไปในหลุมดำ

น่าจะเป็นเพราะเราเขียน resume ดีๆไม่เป็น
ฉะนั้นตรงนี้อาจจะแชร์บทเรียนมากไม่ได้

แต่อย่างน้อย จากการที่เคยเป็นฝ่ายที่อ่าน resume มาเยอะพอสมควรแล้ว พบว่า

จริงอยู่ผลงานที่ทำสำคัญกว่าชื่อสถาบัน
แต่เหมือนว่าจิตใต้สำนึกของคนจะมองชื่อเป็นอย่างแรก จากนั้นค่อยมองผลงาน
ถ้าเคยทำงานสถาบันหรือบริษัทดีๆให้พยายามเน้นไว้ อย่างน้อยก็จะมีโอกาสให้ resume โดนหยิบขึ้นมาอ่าน

อ้อๆๆๆ อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่ 4.0 ก็ไม่จำเป็นต้องใส่เกรด


หลังจากได้สัมภาษณ์ resume ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น


อันนี้อย่างน้อยในสาขาโปรแกรมเมอร์ สาขาอื่นไม่ชัวร์

หลังจากได้สัมภาษณ์แล้ว ไม่ว่า resume เราจะสวยแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ฝีมือการสัมภาษณ์

อันนี้เตรียมได้เหมือนเตรียมสอบ

เรารู้จักน้องคนนึงไม่เคยเรียนวิชา algorithm แล้วก็ได้ตำแหน่งงานดีๆ ในบริษัทที่ดี
แปลว่า จังหวะนี้แล้ว ถึงความรู้พื้นฐานจะไม่ได้แน่นปึ้ก แต่ถ้าสอบสัมภาษณ์เก่งๆ ก๋็มีโอกาสดีอยู่
ของแบบนี้ฝึกกันได้ในเวลาสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องเรียนเป็น class


ความรู้สึกว่าสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี ไม่มีน้ำหนักอะไรทั้งสิ้น


หลังจากสัมภาษณ์บางทีเราจะรู้สึกว่า เออ ก็ผ่านไปด้วยดีนะ มีโอกาสได้แน่เลย
หลังจากนั้นก็ตกสัมภาษณ์ เราผ่านแบบนี้มาพอสมควรละ

ฉะนั้นถ้ายังไม่ได้ offer จากที่ไหน
ให้หางานใหม่ไปเรื่อยๆเหมือนว่าเพิ่งโดนปฏิเสธมา

เราสามารถถอนใบสมัครได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเสียหาย
และเรายังได้อีเมล แผนกบุคคลของบริษัทต่างๆเพิ่มมาด้วย ถ้าเค้าเรียกสัมภาษณ์
เผื่อใช้งานได้ในอนาคต


reference อย่าแย่ก็พอละ


reference คือ คนที่สามารถพูดถึงความสามารถเราได้
อย่างเช่น เวลาเราสมัครเป็นคนเลี้ยงแมว
เราสามารถให้ลูกค้าเก่าๆที่เราเคยเลี้ยงแมวให้เป็น reference ได้
ลูกค้าใหม่ที่จะจ้างเรา ก็จะสามารถโทรไปถามลูกค้าเก่าว่า เราเลี้ยงแมวดีหรือไม่

การสมัครงานหลายๆที่ก็มี reference แบบนี้เหมือนกัน

สิ่งที่ต้องมั่นใจที่สุดคือ reference จะไม่พูดแย่ๆลับหลัง
วิธีก็คือถามตรงๆว่า ถ้ามีคนโทรมาถามเกี่ยวกับตัวเราแล้ว reference จะพูดให้อย่างสวยงามได้หรือไม่
ถ้าคนนั้นเป็นคนที่ไม่แย่จริง เค้าก็จะบอกตรงๆว่า "ชั้นไม่รู้จักเธอดีพอ แนะนำให้ใช้คนอื่นดีกว่า"

reference ไม่ต้องดีมาก แค่เฉยๆก็ได้
แต่ reference แย่ๆ ทำให้อดได้งาน

เคยมีคนนึงมาสมัครบริษัทที่เราทำงานอยู่
ผ่านสัมภาษณ์อะไรเรียบร้อยละ
โทรไปหา reference แล้วเค้าบอกว่า คนนี้ทำงานไม่ค่อยดี
คนนั้นก็อดได้ offer ไป


สมัครติดที่เดียวก็พอ


การสมัครงานนี่ให้เตรียมพร้อมไว้เลยว่าจะมีที่ที่ไม่รับมากมาย
แล้วก็จะผ่านความจิตตกอยู่เรื่อยๆ

ให้รู้ไว้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดามาก
ฝึกจิตตกไปเยอะๆ จะได้เก่งเรื่องการรับความเครียดด้วย

พยายามไปเรื่อยๆ ขอให้ติดแค่บริษัทเดียวก็คือได้งานทำแล้ว

เราจำไม่ได้ว่า โดนปฏิเสธไปกี่รอบแล้ว
มันก็จะชินขึ้นเรื่อยๆ
แรกๆนี่เดือนนึงกว่าจะหาย จิตตก
หลังๆนี่ไม่กี่วันก็หายละ

สำหรับพวก competitive พวกนี้จะทำใจยากกว่าเพื่อน
แต่ถือเป็นบทเรียนในชีวิตที่ดี


งานแรกอย่าเรื่องมาก


อย่างสุดท้ายที่เรียนรู้มาก็คือ งานแรก อย่าเรื่องมาก
ถ้าสมัครไป 10 บริษัท

ได้งานในบริษัทที่ ไม่ได้ชอบที่สุด
แต่อีก 9 บริษัทยังไม่ได้แม้แต่เรียกสัมภาษณ์เลย

ก็เอาๆไปเหอะ

หลังจากทำงานแรกแล้ว
การหางานอื่นมันจะง่ายขึ้น



โชคดีเรื่องสมัครงานนะน้องรักทั้งหลาย