June 05, 2013

จดหมายถึงตัวเองในอนาคต

คิดว่ามีเพื่อนไม่กี่คนที่ติดตามความเป็นมาของเราเมื่อประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา

สรุปโดยคร่าวๆก็คือ เราลาออกจาก startup แห่งนึง มาทำงานรับจ๊อบแทน
ศัพท์หรูเรียกว่า freelance

หนึ่งในลูกค้าของเราคือ เจ้านายเก่าเรา ชื่อว่า เดเกือบ (เดวิด!)
เดวิดเคยทำงานบริษัทเดียวกับเรา แต่ก็ลาออกจากบริษัทใหญ่มาตั้ง startup ของตัวเอง
สาเหตุที่ลาออกก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน คือ ทำงานบริษัทเดิมไม่ได้ทำให้รู้สึกชีวิตมีค่า

เดวิดลาออกไปตั้งบริษัทด้านสิ่งแวดล้อมกับภรรยาที่ชื่อ เจ็น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัทนี้ที่ผ่านมามีขึ้นมีลง แต่สุดท้ายก็ได้ลูกค้ากลุ่มแรกและนักลงทุนจำนวนหนึ่งมาจนได้ ภายในเวลาน้อยกว่า 1 ปี
ถือว่าเจ๋งมากๆทีเดียว

เนื่องจากเรากำลังจะจบ contract แล้วย้ายออกจากเมืองแล้ว
เมื่อเย็นวันนี้สดๆร้อนๆ เดวิดกับเจ็นเลยให้โอกาสเราคุยกันเป็นการส่วนตัว
เหมือนแบบเวลากำลังจะลาออกจากที่นึง คนก็มักจะมาคุยร่ำลายังไงอย่างนั้น

หลักๆเป็นการคุยกันเงียบๆในห้อง จากนั้นไปกินเบียร์ด้วยกัน จากนั้นไปที่บ้านของเดวิดกับเจน
เราได้มีโอกาสเล่นกีฬากับลูก 4 คนของสองคนนี้
เดินชมสวนที่เดวิดตั้งใจจะปลูก ดอกไม้และพืช ที่เราจำชื่อไม่ได้จำนวนมหาศาล
บวกกับการเล่นกับหมาอีก 2 ตัว และแมวอีก 2 ตัว
ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะเล่าให้ฟังถึงความเป็นกันเองของสองคนนี้

เราไม่ใช่คนประทับใจหรือชอบอะไรง่ายๆ
ยกตัวอย่าง เราไม่ได้ประทับใจคนสร้าง linux กับ git (สองเทคโนโลยีที่คนใช้กันทั่วโลก) เท่าไร
เพราะว่าคนสร้างมีนิสัยปากเสียและมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางหนึ่งค่อนข้างรุนแรง

แต่จากการคุยกับเดวิดและเจ็นวันนี้ทำให้เราค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว

วันนี้หลังจากคุยเรื่องงานกับเดวิด เราก็มีโอกาสถามชีวิตส่วนตัวของเค้า

โดยคร่าวๆเดวิดเป็นคนที่
เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหาร
เคยทำงาน dell และ microsoft
เคยโดน lay off
เคยเป็นทหารเรือ
เคยเป็นเจ้าโต๊ะ blackjack
เคยเล่น poker ระดับมืออาชีพ
เคยโดนภรรยาเอาปืนจ่อ
เคยภรรยาเสีย และแต่งงานใหม่
เคยมีลูกเพิ่มอีก 2 คน (รวมเป็น 3) หลังจากเพิ่งตกงานหมาดๆ
เคยต้องไปกินข้าวตามสถานที่ที่ขอทานไปกินกัน
เคยต้องขายบ้าน ขายรถ ขายทุกสิ่ง เพื่อให้ startup อยู่รอด

มีช่วงชีวิตของเดวิดบางช่วงที่ตกต่ำมาก

เดวิดเล่าให้ฟังว่า มีบางวันที่อารมรณ์ประมาณว่า มือนึงถือกุญแจรถ ส่วนอีกมือนึงถือปืน แล้วลังเลว่าจะขับรถไปทำงานหรือฆ่าตัวตายดีก็มี
แต่เดวิดก็ผ่านวันเหล่านั้นมาได้

ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันเหล่านั้น ที่ชีวิตตกต่ำ เป็นช่วงที่เดวิดเป็นเจ้านายเราอยู่
แล้วเราแทบจะไม่รู้เลยว่าชีวิตเดวิดเศร้าขนาดนั้น ไม่มีการเอาอารมณ์มาลงกับลูกน้องทั้งสิ้น

ความประทับใจไม่ได้จบลงตรงนั้น ระหว่างที่เรานั่งกินเบียร์กับสองสามีภรรยา เราได้ถามเรื่องการบริหารบริษัทเยอะเลย

หลักๆเราถามเดวิดกับเจ็นว่ามีหลักการบริหารบริษัทยังไง
ที่ถามอย่างนี้เป็นเพราะเรารู้สึกว่าบริษัทนี้ทุกคนเป็นคล้ายๆคนในครอบครัว

เราเริ่มต้นทำงานกับเดวิดด้วยสถานะคนรับจ๊อบแค่สามเดือน เพราะเรากำลังจะกลับไปเรียนต่อ
แต่ไปๆมาๆมีวันนึงเดวิดกับเจ็นโทรมาถามว่า สมมติว่าบริษัทให้ได้ทุกอย่าง จะมีอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนใจทำงานเต็มเวลากับบริษัทไหม
ที่เล่าไม่ใช่เพราะอวดอะไรนะ แต่เราเพิ่งเก็ตวันนี้เองว่า เดวิดและเจ็นมีความต้องการจะให้พนักงานทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยาก

เรารู้สึกดีกับบริษัทนี้ถึงขนาดว่า
ไม่ว่าเราไปที่ไหนก็ตาม ถ้าเราสามารถช่วยบริษัทนี้ให้เจริญได้ เราก็จะช่วยเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน part time หรือการช่วยหาพนักงาน
เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราโดนเวทย์มนต์อะไรเข้าไป เราถึงได้ชอบบริษัทนี้ขนาดนี้ได้
จนถึงวันนี้เราก็ได้คำตอบ

คำตอบที่เราได้จากเดวิดและเจ็น อาจจะฟังดูไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ แต่เราคิดว่านี่เป็นวิธีที่เราจะบริหารทีมถ้าเรามีบริษัทตัวเองในอนาคต

สิ่งหลักๆที่เดวิดกับเจ็นสอนเราหลักๆก็คือ

พนักงานทุกคนมีเป้าหมายของตัวเอง บริษัทควรจะช่วยทุกอย่างให้พนักงานบรรลุเป้าหมายนั้น ส่วนธุรกิจหลักๆของบริษัทให้คิดซะว่าเป็นเรื่องรอง

ยกตัวอย่าง(จากเรื่องจริง) มีพนักงานคนนึงมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง
ทางบริษัททำทุกอย่าง เพื่อให้พนักงานคนนี้รู้ว่า การออกอัลบั้ม เป็นเรื่องที่น่ายินดีของบริษัทให้ทำเต็มที่ ส่วนงานบริษัทเป็นงานรอง
ถ้าอยากลาเท่าไรก็ลาไปถ้ามันจะทำให้ได้บรรลุเป้าหมายส่วนตัวได้
ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม คือ เนื่องจากพนักงานคนนี้ได้ทำสิ่งที่ต้องการ ทำให้รักบริษัทมากขึ้น และทำงานได้ดีขึ้น

เราถามสองคนนั้นว่า แล้วถ้าบริษัทเกิดมี 500 คน มันต้องมีคนที่อยู่ๆก็ลาโดยไม่ชอบธรรมไม่ใช่เหรอ
คำตอบก็คือ มันก็มีกรอบ ก็คือการทำงานควรทำตามเป้าหมาย (แต่ไม่ควรนับเวลาทำงาน)
แค่พนักงานทำงานได้ตามเป้า ก็ไม่ควรเรียกร้องอะไรจากพนักงานอีก
การกำหนดเวลาทำงานเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า ถ้าพนักงานทำได้ตามเป้าหมาย
การกำหนดจำนวนวันลาเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า ถ้าพนักงานทำได้ตามเป้าหมาย

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การให้พนักงานได้มีความคิดเป็นของตัวเอง
เวลาทำงาน ให้บอกเป้าหมายพนักงานว่าต้องการอะไร แต่ห้ามบอกว่าต้องทำยังไง
เช่น อยากให้พนักงานสร้าง course ขึ้นมาสำหรับสอนลูกค้า แค่บอกว่า course มีเป้าหมายคือให้ลูกค้ารักสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แต่ไม่ได้บอกว่า course ต้องประกอบไปด้วย บทนี้ บทนั้น

การทำแบบนี้ ทำให้พนักงานได้ทำอะไรที่เป็นความคิดของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมทำอะไรที่สำคัญ
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำออกมาจะผิดแล้วผิดอีก แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่พนักงานคิดเองทำเองแล้วไม่ได้ถูกสั่งให้ทำ
ในระยะยาว ผลงานที่ไม่เพอร์เฟคของพนักงานเหล่านี้ ทำให้พนักงานรักบริษัทมากกว่าผลงานที่เพอร์เฟคแต่ถูกออกแบบมาโดยเจ้านาย
และถ้าจะให้เว้ากันซื่อๆ เราคิดว่า บริษัทที่เต็มไปด้วยพนักงานที่โอเคแต่รักบริษัท ดีกว่า บริษัทที่เต็มไปด้วยพนักงานที่ฉลาดมากๆแต่พร้อมลาออก

น่าเสียดายที่เราจำรายละเอียดหลายๆอย่างไม่หมด เพราะมีการพูดคุยกันมากบวกกับการดื่มเบียร์ด้วย
แต่เรื่องหลักๆเราคิดว่ามีเท่านี้แหละ

สรุปแล้วการบริหารงานมีหลายวิธีและวิธีที่ใช้ได้และทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองได้หลายวิธี

แต่โดยบุคลิกของเราที่ให้ความสำคัญกับชีวิตคนและความสัมพันธ์ มากกว่าความรวยและความสำเร็จในชีวิต
เราคิดว่าในอนาคตเราอยากจะบริหารงานแบบนี้นะ

ขอมอบโพสนี้แก่ อัม ในอนาคต
ถ้าวันนึงเกิดมีบริษัทตัวเองขึ้นมา
อย่าลืมให้ความสำคัญกับความฝันของทุกคนในทีมมากกว่าความสำเร็จของบริษัทนะ